จากหลักสูตรเก่าสู่ 'บัณฑิตอนาคต' ถึงเวลาปรับโฉมการศึกษาไทย?

จากหลักสูตรเก่าสู่ 'บัณฑิตอนาคต' ถึงเวลาปรับโฉมการศึกษาไทย?

ผมมีโอกาสเข้าร่วมประชุมเพื่ออนุมัติหลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งในฐานะกรรมการสภามหาวิทยาลัย บ่อยครั้งได้เห็นหลักสูตรเดิมๆ นำมาปรับปรุงใหม่ตามรอบของการปรับหลักสูตรที่ถูกบังคับไว้ น้อยครั้งที่จะเห็นหลักสูตรใหม่ๆ ที่จะสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม

KEY

POINTS

  • หลักสูตรการศึกษาปัจจุบัน มักเป็นการปรับปรุงจากของเก่า ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโลกและไม่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต
  • ข้อเสนอแนะให้แบ่งการพัฒนาหลักสูตรเป็น 2 กลุ่ม คือ ระยะสั้น (5-10 ปี) สำหรับปรับปรุงทักษะเดิม และระยะยาว (10-20 ปี) เพื่อสร้างบัณฑิตสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเติบโตสูง
  • ผลสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ชี้ให้เห็นถึงความต้องการในปัจจุบัน แต่การมุ่งเน้นผลิตบัณฑิตตามความต้องการระยะสั้นอาจไม่เพียงพอต่อการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
  • มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ชี้นำสังคม โดยเร่งพัฒนาหลักสูตรเพื่อสร้าง "บัณฑิตอนาคต" ที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง

ผมมีโอกาสเข้าร่วมประชุมเพื่ออนุมัติหลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งในฐานะกรรมการสภามหาวิทยาลัย บ่อยครั้งได้เห็นหลักสูตรเดิมๆ นำมาปรับปรุงใหม่ตามรอบของการปรับหลักสูตรที่ถูกบังคับไว้ น้อยครั้งที่จะเห็นหลักสูตรใหม่ๆ ที่จะสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม แต่หนักไปกว่านั้นคือมีหลักสูตรน้อยมากที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นจากทั้งทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งก็ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นกับแทบทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทย

หลักสูตรในมหาวิทยาลัย โดยมากมักพัฒนามาจากสาขาวิชา คณะหรือจากความถนัดของอาจารย์ผู้สอน หรือบางครั้งอาจมีการปรับปรุงหลักสูตรโดยการสอบถามความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมที่สาขาวิชาหรือคณะมีการทำงานร่วมกัน แม้จะเป็นการสะท้อนความต้องการบ้างแต่ก็อาจไม่ใช่การพัฒนาหลักสูตรใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

ซึ่งจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ทิศทางของอุตสาหกรรมใน 10-20 ปีข้างหน้า และการจะพัฒนาหลักสูตรเหล่านั้นเป็นเรื่องยากที่จะถูกผลักดันมาจากระดับสาขาวิชา หรือคณะ แต่ต้องมีนโยบายที่ชัดเจนมาจากมหาวิทยาลัยหรือจากรัฐบาล ที่จะต้องมีนโยบายส่งเสริมอย่างชัดเจนและจัดหางบประมาณมาสนับสนุน ทั้งการพัฒนาผู้สอนและการลงทุนในการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งบางหลักสูตรจำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงมาก

การพัฒนาคนในระดับอุดมศึกษาควรแบ่งกลุ่มตามหลักสูตรเป็นสองกลุ่ม กลุ่มระยะสั้น ที่จะสร้างคนสำหรับ 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้อาจเป็นหลักสูตรเดิมๆ ที่มีการปรับปรุงใหม่ แต่ก็ต้องเน้นให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และที่สำคัญหลักสูตรก็จะต้องเน้นสอนเพื่อให้ผู้เรียนปรับตัวอยู่ตลอดเวลาและพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ เพราะความรู้ที่ได้ในการเรียนจากมหาวิทยาลัยในช่วง 4 ปีก็อาจล้าสมัยไปแล้วทันทีที่จบออกมา และไม่สามารถที่จะใช้ในการทำงานต่อไปได้ แต่บัณฑิตก็จะสามารถใช้ทักษะอื่นๆ ที่เรียนรู้ในมหาวิทยาลัยเพื่อปรับตัวให้ทำงานด้านอื่นๆ ได้ 

นอกจากนี้กลุ่มนี้อาจรวมไปถึงการทำหลักสูตรระยะสั้นเพื่อยกระดับและปรับเปลี่ยนทักษะ (Upskill/Reskill) กลุ่มคนที่อยู่ในตลาดแรงงานปัจจุบัน

กลุ่มหลักสูตรระยะยาว คือหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยจะต้องชี้นำสังคมและพัฒนาคนสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอีก 10-20 ปี ต้องเอาแนวโน้มของโลกมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรว่าเราควรจะสร้างบัณฑิตอย่างไรที่จะให้ประเทศมีศักยภาพต่อการแข่งขันในอนาคต เหล่านี้เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อสร้างคนให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ทางสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เพิ่งประกาศผลการสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2568 – 2572 โดยมี 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายและในแต่ละอุตสาหกรรมมีความต้องการตำแหน่งงานสำคัญใดบ้าง และทักษะที่จำเป็นในแต่ละตำแหน่งงาน โดยพบว่า มีต้องการบุคลากรทักษะสูงในตำแหน่งงานสำคัญรวม 1,087,448 ตำแหน่ง ในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่มีความต้องการบุคลากรมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 440,573 ตำแหน่ง ตามมาด้วยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม 226,423 ตำแหน่ง และ อุตสาหกรรมดิจิทัล 87,568 ตำแหน่ง

หากมองเจาะลึกในตำแหน่งก็จะพบว่า หลายตำแหน่งอาจไม่ต้องการบุคลากรที่มีทักษะสูงมาก เช่น มีการระบุถึงตำแหน่งพนักงานบริการลูกค้าในสนามบิน 146,970 ตำแหน่ง คนขับรถบรรทุก 72,826 ตำแหน่ง และพนักงานส่งสินค้า 72,372 ตำแหน่ง ดังนั้นการมุ่งเน้นผลิตบัณฑิตตามความต้องการของอุตสาหกรรม อาจตอบสนองความต้องการในระยะ 5-10 ปี แต่ถ้าเราจะมุ่งเน้นการแข่งขันของประเทศในระยะยาว อาจต้องพิจารณาถึงแนวโน้มของโลกในอนาคต

มีตัวอย่างการวิเคราะห์ของบริษัทวิจัย McKinsey ที่กล่าวถึง 18 กลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Arenas of Competition) ซึ่งมีคุณลักษณะโดดเด่น 2 ประการ คือ การเติบโตสูง (High Growth) และพลวัตสูง (High Dynamism) อุตสาหกรรมเหล่านี้มีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปี (CAGR) สูงถึง 10% ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมทั่วไปที่มีอัตราการเติบโตเพียง 4% นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดของบริษัทขนาดยักษ์ระดับโลกรายใหม่ๆ และสร้างผลกำไรทางเศรษฐกิจในสัดส่วนที่สูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นอย่างมีนัยสำคัญ

McKinsey คาดการณ์ว่า 18 กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้จะขยายตัวจากสัดส่วนเพียง 4% ของ GDP โลกในปัจจุบัน ไปเป็น 10-16% ภายในปี 2040 โดยจะสร้างรายได้รวมทั่วโลกสูงถึง 29-48 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างผลกำไรได้ถึง 2-6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกครั้งสำคัญ ซึ่งทุกประเทศรวมถึงประเทศไทยไม่สามารถมองข้ามได้

McKinsey ได้จัดกลุ่ม 18 อุตสาหกรรมเหล่านี้ เป็น 3 กลุ่มคือ

1) Continuing Arenas (กลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง): เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตสูงอยู่แล้วและจะยังคงเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง เช่น อีคอมเมิร์ซ ยานยนต์ไฟฟ้า คลาวด์ และเซมิคอนดักเตอร์ สำหรับประเทศไทย นี่คือสมรภูมิที่ต้องแข่งขันอย่างเข้มข้นเพื่อรักษาและขยายส่วนแบ่งตลาดที่มีอยู่เดิม

2) Spin-off Arenas (กลุ่มอุตสาหกรรมแตกแขนง): เป็นกลุ่มที่แตกย่อยออกมาจากอุตสาหกรรมเดิม แต่เติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ทรงพลังด้วยตัวเอง เช่น ซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โฆษณาดิจิทัล และบริการสตรีมมิง กลุ่มนี้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวและบริษัทเดิมสามารถปรับตัวเพื่อสร้างมูลค่าใหม่ได้

และ 3) Emergent Arenas (กลุ่มอุตสาหกรรมเกิดใหม่): เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตและพลวัตสูง แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เช่น อุตสาหกรรมอวกาศ ยานยนต์อัตโนมัติ เทคโนโลยีชีวภาพ และพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชัน สำหรับประเทศไทย กลุ่มนี้ต้องการวิสัยทัศน์ระยะยาว การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาขั้นพื้นฐาน และความพร้อมที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนสูง

ซึ่งการนำพาประเทศไปสู่ขีดความสามารถในการแข่งขันสูงสุดภายในปี 2040 บทบาทหนึ่งที่สถาบันอุดมศึกษาควรทำคือ เร่งรัดการพัฒนาบุคลากร (Talent Acceleration) ภาครัฐบาลอาจต้องจัดทำโครงการระดับชาติเพื่อยกระดับและปรับเปลี่ยนทักษะครั้งใหญ่ โดยขับเคลื่อนจากความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในอนาคตอย่างแท้จริง เพื่อสร้างบุคลากรที่พร้อมสำหรับอนาคต

นอกจากนี้รัฐบาลเองอาจต้องเร่งสร้างระบบนิเวศเชิงลึก ปรับเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากการมุ่งเน้นดึงดูดโครงการขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว ไปสู่การบ่มเพาะและสนับสนุนผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานระดับ และการนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์

สุดท้ายควรมีการจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมที่จะเป็นผู้นำได้อย่างแท้จริง ในขณะที่ใช้วิทยาการ “ผู้ตามที่รวดเร็ว” (Fast Follower) หรือการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Player) ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องอาศัยเงินทุนและเทคโนโลยีขั้นสูง

ดังนั้นมหาวิทยาลัยต่างๆ ควรเร่งปรับปรุงหลักสูตรครั้งใหญ่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น 5-10 ปีข้างหน้า และระยะยาวมากกว่า 10 ปี ซึ่งคงต้องทำมากกว่าการปรับปรุงหลักสูตรเก่าเพื่อให้ทันกรอบเวลาของการปรับปรุง ทั้งนี้มหาวิทยาลัยจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำสังคม และผลักดันให้ประเทศมีศักยภาพต่อการแข่งขันอนาคต