‘ไมโครซอฟท์’ ถอดรหัส ‘Frontier Firm’ ปลุกองค์กรไทย สู่ผู้นำยุค ‘AI’

‘ไมโครซอฟท์’ ไขรหัส ‘Frontier Firm’ แนวคิดพาองค์กรไปสู่แนวหน้าด้านนวัตกรรม ผสานการทำงาน AI พร้อมสร้างทีมงานรูปแบบใหม่ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
KEY
POINTS
-
75% ของผู้นำองค์กรในประเทศไทยต้องการเห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่มากขึ้น
-
ในทางกลับกันพนักงานกว่า 88% บอกว่าทำอย่างเต็มที่แล้ว กระทั่งไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะจัดการหรือรับมือกับงานที่รับผิดชอบในมือ
-
ระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล
-
ผู้นำธุรกิจในไทยมองว่า AI Agents คือหนทางขยายศักยภาพองค์กร
ทุกวันนี้ผู้บริหารในองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ต่างมีโจทย์ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง...
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า 75% ของผู้นำองค์กรในประเทศไทยต้องการเห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่มากขึ้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่มีอยู่ราว 53%
จากรายงาน “Work Trend Index” ล่าสุดของไมโครซอฟท์ เผยให้เห็นถึงความท้าทายที่คนทำงานในปัจจุบันต้องเผชิญว่า ในมุมของพนักงาน 88% บอกว่าทำอย่างเต็มที่แล้ว กระทั่งไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะจัดการหรือรับมือกับงานที่รับผิดชอบในมือส่วนค่าทั่วโลกอยู่ที่ราว 80%
จากสถิติการใช้งานเครื่องมือและบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 พบว่า คนทำงานทั่วโลกจะได้รับข้อความแจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ทุก 2 นาทีโดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น 275 ครั้งในแต่ละวัน
การแจ้งเตือนดังกล่าว อาจมาจากทั้งอีเมล ข้อความแชท หรือตารางนัดประชุม มากกว่านั้นราวครึ่งหนึ่งของการประชุมในแต่ละวันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. ซึ่งมักเป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานแต่ละวัน
‘Agentic AI’ ทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล
ดังนั้นระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม ขณะที่การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI เป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก
ที่น่าสนใจพบด้วยว่า ผู้นำธุรกิจในไทยส่วนใหญ่มองว่า “เอเจนต์” คือหนทางขยายศักยภาพองค์กร โดย 68% ขององค์กรในไทยเริ่มต้น “ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI” แล้ว ส่วนค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 46%
นอกจากนี้ 93% ของผู้นำไทยระบุว่า บริษัทของตนกำลังพิจารณา “เพิ่มบทบาทที่เน้น AI” ทั่วโลก 78% และ 90% ของผู้นำไทยมั่นใจว่าจะใช้ “แรงงานดิจิทัล” เพื่อขยายขีดความสามารถของบุคลากร ทั่วโลก 82%
กล่าวได้ว่า ผู้นำองค์กรไทยให้ความสำคัญกับการใช้ AI และแรงงานดิจิทัลมากกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยเฉพาะการปรับกระบวนการให้เป็นอัตโนมัติ และการเตรียมเพิ่มตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับ AI
โดย 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ
กลยุทธ์มุ่งสู่สถานะ ‘Frontier Firm’
สำหรับการบูรณาการ AI ในองค์กรไทย ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าองค์กรไทยจะเพิ่มบทบาทด้าน AI ทั้งด้านการฝึก การออกแบบ การจัดการ และการสร้างระบบอัตโนมัติ
โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นแบ่งเป็น 4 บทบาทสำคัญคือ การฝึกอบรมเอเจนต์ AI 56%, การออกแบบระบบใหม่โดยใช้ AI 51%, การสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับงานที่ซับซ้อน 51% และการจัดการเอเจนต์ AI 46%
ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ “Frontier Firm” ไว้ดังนี้
- ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน
- ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ
- บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโต
โชว์เคส ‘3 องค์กร’ ผู้นำยุค ‘เอไอ’
ไมโครซอฟท์ เปิดโชว์เคส 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะ “Frontier Firms” ผู้นำด้านนวัตกรรมที่นำ AI มาทำงานผสานกับมนุษย์อย่างลงตัว
เอสซีบีเอกซ์ สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน
ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายวางแผนการเงินและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า เอสซีบี เอกซ์ส่งเสริมการใช้ AI ให้พนักงานมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ขณะเดียวกันสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดและขยายขีดความสามารถของฟังก์ชันงานที่มีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพ ละเอียด และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย AI
สำหรับ เอสซีจี เคมิคอลส์ ส่งเสริมให้พนักงานนำAIมาใช้ในการทำงานทุกวัน เป็น AI Everyday เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร
สัญญา จินดาประเสริฐ ผู้อำนวยการสายงานดิจิทัลองค์กรบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า ให้ความสำคัญกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน
โดยพนักงานทุกคนสามารถใช้งาน AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ “TH2OECD” สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น
ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยว่า AI มีส่วนช่วยให้ก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน
ขณะเดียวกัน เปิดโอกาสให้สามารถวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้ ทั้งยังช่วยให้นักกฎหมายทำงานได้เร็วขึ้น







