ไปรษณีย์ไทยใส่เกียร์ลงทุน 1,000 ล. ปรับทัพรับมือสงครามราคาโลจิสติกส์

ไปรษณีย์ไทย เรียกร้องเร่งคลอดกฎหมายใหม่ สร้างระบบแข่งขันเท่าเทียมในตลาดโลจิสติกส์ ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มกำหนดเกมด้วยราคาถูกกว่าทุน พร้อมเดินหน้าธุรกิจเฉพาะทาง-ลงทุนระบบอัตโนมัติ หวังลดเสี่ยงพึ่งพาอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ อัดงบลงทุนศูนย์กระจายสินค้าปีนี้ 1,000 ล้านบาท
นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า หากพระราชบัญญัติการประกอบกิจการไปรษณีย์ พ.ศ. … ผ่านการพิจารณาอย่างรวดเร็ว จะช่วยพลิกโฉมการแข่งขันในอุตสาหกรรมไปรษณีย์และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะการกำกับดูแลผู้ให้บริการเอกชนที่ปัจจุบันยังอยู่นอกกฎหมายเดิม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าหน่วยงานใดรับหน้าที่กำกับดูแลหลัก แต่มีแนวโน้มว่าจะจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะตามตำแหน่ง แทนการจัดตั้งองค์กรอิสระแบบเดียวกับที่ใช้ในกิจการโทรคมนาคม
ไปรษณีย์ไทยไม่ต้องการแต้มต่อพิเศษจากรัฐ แต่ต้องการระบบการแข่งขันที่แฟร์เพลย์ เพื่อให้สามารถยืนอยู่ในตลาดได้โดยไม่ถูกกลืนหาย
นายดนันท์ เสริมว่า กฎหมายฉบับใหม่จึงถูกคาดหวังว่า จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม มีมาตรการป้องกันการตั้งค่าบริการในราคาต่ำกว่าทุน เพราะการดัมพ์ราคาคือการเล่นนอกเกม เป็นพฤติกรรมทำลายตลาดระยะยาว ที่อาจลากทั้งอุตสาหกรรมล้มไปพร้อมกัน
อีกทั้ง ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มควบคุมทิศทางการขนส่งอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะในตลาดอีคอมเมิร์ซที่อัลกอริธึมของแพลตฟอร์มเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการขนส่งจากราคาที่ถูกที่สุด โดยไม่เปิดทางให้ผู้บริโภคมีสิทธิเลือกบริการที่เชื่อถือได้และตรงกับความต้องการ
เขา เล่าว่า ขณะเดียวกัน ธุรกิจอีคอมเมิร์ซภาพรวมปัจจุบันโตแบบชะลอตัว และแพลตฟอร์มกลายเป็นตัวกลางควบคุมระบบการขนส่ง ทำให้ไปรษณีย์ไทยประสบความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของปริมาณวอลลุ่มที่ผันผวนสูง เช่น การที่แพลตฟอร์มสามารถเปลี่ยนผู้ให้บริการขนส่งได้อัตโนมัติเมื่อเจอราคาถูกกว่า ส่งผลต่อคาปาซิตี้และต้นทุนคงที่ของบริษัท
ดังนั้น เพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์ม ไปรษณีย์ไทยหันมาบริหารพอร์ตลูกค้าใหม่ เน้นกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีความผันผวนต่ำ และเริ่มพัฒนาธุรกิจเฉพาะทาง "Specialized Logistics" โดยเฉพาะการส่งเวชภัณฑ์ทั้งของมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ที่ต้องการกระบวนการจัดการละเอียด เช่น การยืนยันตัวตนผู้รับยา การควบคุมอุณหภูมิ และการส่งตรงถึงบ้านภายในวันเดียวกัน
ไปรษณีย์ได้ตั้งยูนิตธุรกิจใหม่ “เฮลท์แคร์ โลจิสติกส์” รองรับบริการนี้ พร้อมมาตรฐาน GSP และ GDP รองรับการขนส่งเวชภัณฑ์แบบมืออาชีพ โดยเริ่มทดลองร่วมกับโรงพยาบาลสัตว์อย่างจุฬาฯ และมองว่าตลาดนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ยอมจ่ายเพื่อดูแลสัตว์เสมือนคนในครอบครัว ซึ่งเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่อยอดสู่การจัดส่งอาหารสัตว์และสินค้าที่เกี่ยวข้อง
แม้ปริมาณพัสดุจากกลุ่มนี้ยังไม่มากเท่าอีคอมเมิร์ซ แต่มีอัตราเติบโตสูง และมีความเสี่ยงต่ำ เพราะลูกค้ามาจากหลายแหล่ง ไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มเพียงไม่กี่ราย และยังสามารถสร้างแบรนด์และความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง
นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังลงทุนเพิ่ม 1,000 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อวางระบบอัตโนมัติในศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ 19 แห่ง โดยเฉพาะศูนย์ราชบุรีที่ออกแบบให้รองรับการกระจายพัสดุภาคตะวันตกและภาคใต้โดยไม่ต้องผ่านกรุงเทพฯ ลดการแออัดในศูนย์กลาง และประหยัดต้นทุน ทั้งดำเนินการโหลดบาลานซ์และพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย ทำให้การคัดแยกพัสดุกว่า 240,000 ชิ้น/วัน มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไปรษณีย์ไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า เราไม่ตั้งเป้ากำไรสูงสุด แต่เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ไม่เป็นภาระรัฐ และเน้นการแข่งอย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะในภาวะที่หลายแพลตฟอร์มใช้วิธีดัมพ์ราคา ส่งฟรี หรือจ่ายค่าขนส่งต่ำกว่าทุน เพื่อชิงวอลลุ่ม เมื่อแข่งขันไม่ได้ เอกชนรายเล็กทยอยตายจากตลาด เหลือผู้เล่นไม่กี่รายที่สามารถควบคุมราคาได้ในที่สุด"