หยุดประมูลคลื่น! สภาผู้บริโภคจี้รัฐทบทวน ชี้ 'เอ็นที' คือทางออกเพื่อสังคม

สภาผู้บริโภค เตือน กสทช.เอื้อเอกชนรายใหญ่ ทำรัฐสูญเกือบแสนล้าน เสนอใช้ ม.42 จัดสรรคลื่นให้บริการสาธารณะ ดันแนวทางเก็บรายได้เข้าคลังเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 มิ.ย.68) สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาล และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ทบทวนการเปิดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2100 MHz และ 2300 MHz ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายน 2568 นี้ โดยเสนอให้ใช้ทางเลือกตามกฎหมาย จัดสรรคลื่นให้กับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เพื่อนำไปใช้ในกิจการเพื่อประโยชน์สาธารณะ แทนการเปิดประมูลที่อาจก่อให้เกิดการผูกขาด และสร้างความเสียหายแก่รัฐมหาศาล
ข้อมูลจากสภาฯ ระบุว่า การประมูลคลื่นในครั้งนี้ มีเพียง 2 บริษัทใหญ่ที่เตรียมยื่นขอใบอนุญาต ได้แก่ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ทรู) และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (เอไอเอส) ซึ่งเป็นผู้ถือครองคลื่นเดิมอยู่แล้ว ขณะที่เอ็นทีถอนตัวจากการแข่งขันโดยปริยาย หลัง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แถลงว่าจะไม่อนุญาตให้เข้าร่วมประมูล
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การประมูลไม่มีการแข่งขัน โดยทั้งทรู และเอไอเอสจะประมูลเฉพาะคลื่นที่ตนใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ทำให้มีข้อกังขาว่าอาจเป็นลักษณะของ “ฮั้วประมูล” ซึ่งขัดต่อหลักการ และเจตนารมณ์ของกฎหมาย
สภาฯ ชี้ว่า ราคาขั้นต่ำที่สำนักงาน กสทช. กำหนดไว้สำหรับการประมูลในครั้งนี้ ต่ำกว่ามูลค่าตลาดจริงอย่างมาก โดยคลื่น 2100 MHz ซึ่งเปิดประมูลในขนาด 2x5 MHz ราคาเริ่มต้นเพียง 4,500 ล้านบาทต่อใบอนุญาต 15 ปี หากประมูลครบ 3 ชุด รวม 2x15 MHz รัฐจะได้รับเงินเพียง 13,500 ล้านบาท ขณะที่ในปัจจุบันบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ ปล่อยเช่าคลื่นดังกล่าวในราคา 3,900 ล้านบาทต่อปี หากนับครบ 15 ปี จะสร้างรายได้รวม 58,500 ล้านบาท เท่ากับว่าเอไอเอสจะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงถึง 45,000 ล้านบาท
ในกรณีคลื่น 2300 MHz ซึ่งเปิดประมูลในขนาด 10 MHz ราคาเริ่มต้นเพียง 2,596.15 ล้านบาทต่อ 15 ปี หากขายได้ครบทั้ง 60 MHz จะสร้างรายได้ให้รัฐเพียง 15,576 ล้านบาท ในขณะที่เอ็นทีปล่อยเช่าคลื่นนี้ให้ทรูปีละ 4,510 ล้านบาท หากนับครบ 15 ปีจะสร้างรายได้รวมสูงถึง 67,650 ล้านบาท หรือเท่ากับทรูได้ลดต้นทุนลงกว่า 52,074 ล้านบาท
สภาฯ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ NT จะถูกวิจารณ์ว่าไม่มีบทบาทในตลาด ทำตัวเป็น “เสือนอนกิน” และไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันที่แท้จริง แต่ปัญหาหลักอยู่ที่เกณฑ์การประมูลของ กสทช. ที่ไม่รัดกุม ทำให้เกิดช่องว่างเอื้อประโยชน์แก่เอกชน และรัฐสูญเสียรายได้รวมกันอย่างน้อย 97,074 ล้านบาท
ทางออกหนึ่งที่สภาฯ เสนอคือ การใช้มาตรา 42 (2) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งให้อำนาจ กสทช. สามารถจัดสรรคลื่นโดยไม่ต้องประมูล สำหรับกิจการที่ให้บริการสาธารณะ หรือไม่แสวงหากำไร โดยสามารถจัดสรรคลื่นทั้ง 2100 MHz และ 2300 MHz เพื่อการเข้าถึงของกลุ่มเปราะบาง คนด้อยโอกาส หรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้มีโอกาสใช้ในราคาถูก โดยอาจจะกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ที่ 50 บาทต่อเดือน หรือกิจการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ กสทช. สามารถกำหนดเงื่อนไขหากเอ็นที นำคลื่นให้บริษัทโทรคมนาคมเช่าใช้งาน เงินค่าเช่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นขอให้ส่งให้กระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน การที่ กสทช. อนุญาตให้ใช้คลื่นเพื่อบริการสาธารณะ นับว่าได้ประโยชน์ต่อกระทรวงการคลังแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แถมเอ็นทีได้แบ่งคลื่นใช้งาน สำนักงบประมาณไม่ต้องตั้งงบประมาณให้เอ็นที เช่าคลื่นจากบริษัททั้งสอง ถ้าเอ็นทีบริการดี มีมาตรฐาน ถูกใจ ประชาชนผู้บริโภคจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในกิจการโทรคมนาคม
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์