'เอ็นที'อุบแผนจับมือพันธมิตรมือถือ-บรอดแบนด์ ลุ้นเอไอเอส-ทรู-จีนใครเข้าวิน

'เอ็นที'อุบแผนจับมือพันธมิตรมือถือ-บรอดแบนด์ ลุ้นเอไอเอส-ทรู-จีนใครเข้าวิน

เอ็นทีเผยองค์กรกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาข้อเสนอจากพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อร่วมพลิกฟื้นธุรกิจมือถือ-บรอดแบนด์ ย้ำไม่ใช่การขายกิจการ แต่เป็นการเปิดรับพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ โวเอไอเอส ทรู เวนเดอร์จีนยื่นข้อเสนอแล้ว คาดได้ข้อสรุปเบื้องต้นใน 2-3 เดือนได้ข้อสรุป

พ.อ.สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เปิดเผยว่า ขณะนี้เอ็นทีอยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการพิจารณาข้อเสนอจากหลายพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อร่วมมือในการฟื้นฟูธุรกิจหลักอย่างโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โมบาย) และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ที่ประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจโมบายที่เมื่อปี 2566 ขาดทุนสูงถึงกว่า 4,000 ล้านบาท

โดยการดำเนินงานครั้งนี้ ไม่ใช่การขายกิจการหรือโอนถ่ายพอร์ตลูกค้าอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ แต่เป็นการเปิดรับความร่วมมือในรูปแบบพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพการบริหารจัดการของเอ็นทีในพื้นที่ที่องค์กรอาจมีข้อจำกัด เช่น การให้บริการที่ไม่ครอบคลุม การซ่อมบำรุงที่ล่าช้า หรือการบริหารทรัพยากรที่ไม่คุ้มทุน

ยอมรับว่าขณะนี้มีข้อเสนอจากผู้เล่นรายใหญ่แล้วอย่างน้อย 3 กลุ่ม ได้แก่ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และเวนเดอร์รายใหญ่จากประเทศจีน

ซึ่งอยู่ระหว่างการตั้งคณะทำงานร่วมภายในเอ็นทีเพื่อพิจารณาอย่างละเอียด ทั้งในแง่ของตัวเลขทางการเงิน รูปแบบโมเดลการบริหารจัดการ และผลกระทบต่อพนักงาน โดยมีสหภาพแรงงานร่วมอยู่ในคณะทำงานดังกล่าวด้วย คาดว่าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นภายใน 2-3 เดือนนี้เพื่อเสนอเข้าคณะกรรมการ (บอร์ด) 

พ.อ.สรรพชัยย์ กล่าวว่า ข้อเสนอจากแต่ละฝ่ายมีหลากหลายรูปแบบ อาทิ การให้พันธมิตรเข้ามาช่วยบริหารสินทรัพย์บางส่วน เช่น ระบบสาย เสาสัญญาณ หรืออุปกรณ์บรอดแบนด์ การทำตลาดในพื้นที่ที่เอ็นทีไม่สามารถดำเนินการเองได้ หรือแม้แต่การรับประกันจำนวนลูกค้าเดิม พร้อมขยายฐานลูกค้าใหม่ ซึ่งจะมีการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างกันแบบชัดเจน

สำหรับโมเดลที่เอไอเอสและ ทรูเสนอมานั้น มีลักษณะคล้ายการแบ่งใช้ทรัพยากรร่วมในพื้นที่เดียวกัน (แอ็คทีฟ แชร์ริ่ง) เพื่อลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยไม่กระทบต่อการถือครองสิทธิ์หรือการให้บริการในนามเอ็นทีแต่อย่างใด ส่วนข้อเสนอจากเวนเดอร์จีนนั้น เน้นการบริหารจัดการด้านบรอดแบนด์และการตลาด โดยยืนยันว่ามีศักยภาพในการลดต้นทุนการผลิตและจัดซื้ออุปกรณ์ รวมถึงมีเครือข่ายรองรับในประเทศต้นทาง

ทั้งนี้ การหารือทั้งหมดอยู่ภายใต้แนวนโยบายของเอ็นทีที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ใช่ขายกิจการ โดยเฉพาะในประเด็นการโอนถ่ายพอร์ตลูกค้า ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ ทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานของรัฐไม่สามารถจำหน่ายหรือโอนกรรมสิทธิ์ได้ การดำเนินงานจึงต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่เข้มงวด และคำนึงถึงผลกระทบต่อบุคลากรภายในองค์กรเป็นสำคัญ

"ข้อเสนอที่เข้ามา ส่วนใหญ่ไม่ได้พูดถึงการซื้อขาย แต่เสนอรูปแบบความร่วมมือ เช่น เป็นพันธมิตรด้านการตลาด หรือให้เข้ามาช่วยดูแลลูกค้าในบางพื้นที่ ส่วนทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นของ เอ็นที" พ.อ.สรรพชัยย์ กล่าว 

พ.อ.สรรพชัยย์ กล่าวว่า ด้านผลประกอบการของเอ็นทีล่าสุด ธุรกิจโมบายซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหลักขององค์กร ยังคงเผชิญภาวะขาดทุนอย่างหนัก โดยในปี 2566 ขาดทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2567 แม้จะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงขาดทุนอยู่ในระดับ 20-30% จากปีก่อน โดยมีการปรับลดค่าใช้จ่ายด้านโรมมิ่ง และเลิกขายแพ็กเกจแบบอันลิมิตเพื่อควบคุมต้นทุน

ในขณะที่ธุรกิจบรอดแบนด์ แม้จะยังมีกำไรขั้นต้น แต่เมื่อรวมต้นทุนบุคลากรและค่าใช้จ่ายของหน่วยงานสนับสนุน เช่น ฝ่ายบัญชี กฎหมาย และไอที ส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจขาดทุนในระดับ 700-900 ล้านบาท จากรายได้รวมราว 2,000 ล้านบาท

ในส่วนของคลื่นความถี่สำหรับการให้บริการ 5G ขณะนี้เอ็นทีกำลังพิจารณาแนวทางให้บริการแก่หน่วยงานภาครัฐโดยไม่ต้องประมูลเชิงพาณิชย์ เช่น การใช้คลื่น 2100 MHz 2300 MHz และ3500 MHz หรือคลื่นที่เดิมอยู่ในการดูแลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะสามารถนำมาให้บริการในลักษณะเฉพาะกลุ่ม เช่น ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน เทเลเมดิซีน หรือการสื่อสารในภาวะภัยพิบัติ 

เปิดรายได้เอ็นที จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
ปี 2564 ภายหลังควบรวมองค์กรระหว่าง ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม

ปี 2564

รายได้ 103,265 ล้านบาท
กำไร 1,104 ล้านบาท

ปี 2565

รายได้ 91,574 ล้านบาท
ขาดทุน 9,863 ล้านบาท

ปี 2566

รายได้ 87,417 ล้านบาท
ขาดทุน 1,985 ล้านบาท

ปี 2567

รายได้ 85,310 ล้านบาท
ขาดทุน 6,058 ล้านบาท