ร่างกฎหมาย AI ไทยฉบับแรกมาแล้ว! เน้นใช้งานอย่างรับผิดชอบ-ไม่ละเมิดสิทธิ

ดีอี – ETDA เปิดร่างกฎหมาย AI ฉบับแรกของไทย เน้นคุม “ความเสี่ยงสูง” สร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมกับสิทธิมนุษยชน หวังเสริมการพัฒนา AI อย่างยั่งยืน
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อ “(ร่าง) หลักการของกฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์” ฉบับแรกของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน โปร่งใส และรับมือกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ AI ที่มี “ความเสี่ยงสูง” เช่น การละเมิดสิทธิ ความปลอดภัย และเสรีภาพของประชาชน
นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เน้นว่า AI คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีนี้ก็สร้างความท้าทายด้านจริยธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ ซึ่งต้องมีกรอบธรรมาภิบาล (AI Governance) ที่รอบด้าน เพื่อไม่ให้การกำกับดูแลกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรม
ร่างกฎหมาย AI: จาก Soft Law สู่เครื่องมือคุมความเสี่ยงอย่างมีชั้นเชิง
นายศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส ETDA อธิบายว่า ปัจจุบันไทยยังใช้แนวทาง Soft Law หรือ Guideline ในการควบคุมการใช้ AI ซึ่งอาจไม่เพียงพอในอนาคตที่เทคโนโลยีมีความซับซ้อนมากขึ้น ร่างกฎหมายใหม่นี้จึงถูกออกแบบให้สามารถแบ่งระดับการกำกับดูแลตามความเสี่ยง ได้แก่ High-Risk AI ที่ต้องมีมาตรการเข้มข้น ไปจนถึงระบบ AI ทั่วไปที่สามารถใช้แนวทาง Best Practice ได้
ตัวอย่างประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ได้แก่ การรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของ AI, ความโปร่งใสของระบบอัลกอริธึม และการควบคุม AI ที่อาจกระทบต่อสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ ETDA ยังทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ AIGC by ETDA และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แนวทางเหล่านี้สะท้อนบริบทของไทยและเท่าทันสถานการณ์โลก
3 เสาหลักสำคัญ: ปลดล็อก-ส่งเสริม-กำกับดูแล
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายต้องยืดหยุ่น สร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับความปลอดภัยของประชาชน
เนื้อหาหลักของร่างกฎหมายนี้ครอบคลุม 3 มิติหลัก ได้แก่
- 1. การปลดล็อกข้อกฎหมาย ที่เป็นอุปสรรคต่อการประยุกต์ใช้ AI
- 2. มาตรการส่งเสริมการพัฒนา AI เช่น การให้ทุนสนับสนุน การลดภาษี และ Regulatory Sandbox
- 3. การกำกับดูแลด้านธรรมาภิบาล AI ด้วยกลไกที่หลากหลาย ทั้งในระดับ Soft Law และ Hard Law
โดยเฉพาะการใช้งาน AI ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ในการแพทย์ การเงิน หรือภาครัฐ จะต้องมีระบบกำกับที่โปร่งใส มีหน่วยงานรับผิดชอบเฉพาะด้าน และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีได้อย่างทันท่วงที
ไม่ใช่แค่กฎหมายบนกระดาษ แต่ต้องนำไปสู่การใช้ AI อย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ การพัฒนากฎหมาย AI จะต้องควบคู่ไปกับการยกระดับบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งในแง่เทคนิค จริยธรรม และการใช้งานจริงในสาขาต่างๆ เช่น การเกษตร การแพทย์ และการบริหารภาครัฐ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการออกแบบระบบแบ่งปันข้อมูล (Data Sharing) ที่คำนึงถึงอธิปไตยทางดิจิทัล (Digital Sovereignty) เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างความเป็นเจ้าของข้อมูล การเปิดใช้ Open Source และการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลภายในประเทศ
นายศักดิ์ ปิดท้ายว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่ใช่เพียงข้อกฎหมายในเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่คือ “เครื่องมือสร้างอนาคต” ที่จะกำหนดทิศทางของ AI ไทยให้พัฒนาอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในยุคดิจิทัล และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดกติกาที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้
กฎหมายนี้ไม่ใช่แค่ “กฎหมาย” แต่คือทิศทางของอนาคต AI ไทย โดย ETDA เชิญทุกภาคส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นภายใน 9 มิ.ย.นี้







