ST Telemedia ชี้ Green AI โตแรง 37% ต่อปี ไทยขึ้นแท่นฮับเอไออาเซียน

ไทยถูกมองเป็นศูนย์กลางเอไอแห่งใหม่ของอาเซียน ทดแทนมาเลเซียที่เริ่มอิ่มตัว ST Telemedia เผย ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์อาเซียนปัจจุบันมีมูลค่า 1.8 แสนล้านบาท คาดขยายตัวเป็น 2 เท่าถึง 4 แสนล้านบาทภายในปี 2030 จับตา Green AI ที่โตแรง 37% ต่อปี
อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อประเทศไทยได้รับการจับตามองให้เป็นศูนย์กลางปัญญาประดิษฐ์ (AI) แห่งใหม่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในเวทีเสวนา Siemens Data Center Conference 2025 ที่จัดโดย “ซีเมนส์” ร่วมกับ “กรุงเทพธุรกิจ” เพื่อเจาะลึกเทรนด์โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในอนาคต บุศรินทร์ ประดิษฐยนต์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) หรือ STT GDC ได้ฉายภาพการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ออกมา
“ดาต้าเซ็นเตอร์สมัยนี้ไม่ใช่แค่ศูนย์เก็บข้อมูลธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลทั้งภูมิภาคอาเซียน” บุศรินทร์กล่าว
เธออธิบายว่า ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่เราใช้ผ่านโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้แอปธนาคาร การช้อปปิ้งออนไลน์ การรักษาพยาบาลผ่านระบบ การใช้บริการเมืองอัจฉริยะ การดูหนังสตรีมมิ่ง การเรียกรถแท็กซี่ หรือการเรียนออนไลน์ ล้วนต้องอาศัยระบบดาต้าเซ็นเตอร์เป็นตัวหลักทั้งสิ้น
ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์โต 2 เท่าใน 6 ปี
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยชื่อดัง Arizton Advisory and Intelligence ระบุว่า ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขณะนี้มีมูลค่าถึง 5.2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท) และจะขยายตัวเป็น 2 เท่าไปที่ 11.8 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4 แสนล้านบาท) ภายในปี 2030
อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 14% ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แบบนี้ แรงขับเคลื่อนหลักมาจากความต้องการใช้งานเอไอขนาดใหญ่ (Hyperscale AI) การประมวลผลข้อมูลระดับสูง และการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลของทุกธุรกิจ
“เราไม่ได้แค่สร้างตึกเก็บเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่กำลังสร้าง ‘โรงงานเอไอ’ เหมือนที่ เจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดีย (NVIDIA) เคยพูดไว้ ว่าดาต้าเซ็นเตอร์คือโครงข่ายดิจิทัลของโลกยุคใหม่”
บุศรินทร์อธิบายเสริมว่า ในแต่ละวันมีข้อมูลใหม่เกิดขึ้นมากกว่า 400 ควินทิลเลียนไบต์ (เลข 4 ตามด้วยเลขศูนย์ 20 ตัว) และเบื้องหลังการใช้งานดิจิทัลทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินผ่านแอป การโอนเงิน หรือแม้แต่การฝึกสอนระบบเอไอล้วนต้องอาศัยเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดมหึมาที่มองไม่เห็นเป็นตัวประมวลผล
ตัวเลขการเติบโตของเอไอทั่วโลกสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการใช้เอไอจะพุ่งขึ้นจาก 2.2 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ ไปเป็น 36.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029 หรือเติบโตถึง 16 เท่าในเวลาเพียง 5 ปี ซึ่งหมายถึงการเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 170%
ขณะเดียวกัน ตลาด “Green AI” หรือเอไอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 37% และมีมูลค่าถึง 1.74 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2029
ไทยขึ้นแท่นฮับเอไอทางเลือกใหม่
ภูมิทัศน์ดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคอาเซียนกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่แพร่หลาย การนำระบบคลาวด์มาใช้มากขึ้น และการพัฒนาเอไอที่เร่งตัว ทำให้ประเทศต่างๆ อย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย แข่งขันกันเพื่อเป็นศูนย์กลางเอไอของภูมิภาค
“ประเทศไทยกำลังถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับการเป็นศูนย์กลางเอไอ” บุศรินทร์กล่าว โดยเธอชี้ให้เห็นว่า เมื่อมาเลเซียเริ่มดึงดูดการลงทุนระบบดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ในช่วงแรก ตอนนี้กระแสการลงทุนเริ่มกระจายออกมา และไทยเป็นจุดหมายที่น่าสนใจ
“หมายความว่าไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางต่อไปของนักลงทุนใหญ่ๆ” เธอกล่าว
จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของไทยคือ ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ใกล้จีน ทำให้สามารถเชื่อมต่อสายสัญญาณผ่านทางบกได้อย่างมั่นคง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศในทะเลที่อาจส่งผลกระทบต่อสายเคเบิลใต้น้ำ สิ่งนี้เปิดโอกาสให้ไทยเป็นจุดเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างประเทศ และเป็นฐานในการขยายธุรกิจคลาวด์ที่มีความยืดหยุ่นสูง
อย่างไรก็ตาม แม้โอกาสจะสดใส แต่อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ก็เผชิญกับความท้าทายไม่น้อย การหาพื้นที่เหมาะสมและแหล่งจ่ายไฟฟ้าที่เพียงพอกลายเป็นการแข่งขันที่ดุเดือด โดยเฉพาะในตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคใหญ่ ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง ไม่ใช่แค่ตอนดำเนินงาน สิ่งนี้ส่งผลต่อระยะเวลาในการก่อสร้างและคุณภาพของระบบที่ต้องการมาตรฐานสูง
เหตุการณ์ธรรมชาติที่ไม่คาดคิด เช่น แผ่นดินไหวในเมียนมาร์เมื่อเร็วๆ นี้ที่ส่งผลกระทบมาถึงไทย ได้เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกคนต้องคิดใหม่เรื่องการออกแบบระบบป้องกัน
“เราต้องเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่หมด ตั้งแต่การเลือกพื้นที่ตั้ง การเตรียมระบบสำรอง ไปจนถึงระบบระบายความร้อน ไม่สามารถใช้แนวคิดแบบเดิมได้อีกแล้ว” บุศรินทร์เน้นย้ำ
ST Telemedia เดินหน้าขยายการลงทุนในไทย
การใช้งานเอไอ และ Edge Computing (การประมวลผลใกล้ผู้ใช้) กำลังเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดของดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบใหม่ต้องรองรับการประมวลผลแบบหนาแน่นสูงได้ถึง 150 กิโลวัตต์ต่อชั้นวางเครื่อง (Rack) ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับระบบเดิม
เพื่อรองรับความร้อนที่เกิดขึ้นจากการประมวลผลหนักขนาดนี้ จำเป็นต้องใช้ระบบระบายความร้อนขั้นสูง เช่น การทำความเย็นโดยตรงที่ชิปประมวลผล (Direct-to-chip) และการแช่ชิปในของเหลวพิเศษ (Liquid Immersion) แทนการใช้แอร์แบบดั้งเดิม
บุศรินทร์เปิดเผยแผนการลงทุนของ ST Telemedia ในภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันมีดาต้าเซ็นเตอร์รวม 25 แห่ง ในส่วนของไทยมี 3 แห่ง โดย 2 แห่งเปิดให้บริการแล้ว และอีก 1 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
บริษัทกำลังเร่งพัฒนาระบบที่รองรับเอไอตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ (AI-ready by design) เพื่อให้พร้อมรองรับเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในภาพรวมทั่วโลก ST Telemedia Global Data Centers ดำเนินงานดาต้าเซ็นเตอร์มากกว่า 100 แห่งใน 12 ประเทศ สามารถรองรับการใช้ไฟฟ้ารวมมากกว่า 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเทียบได้กับการใช้ไฟฟ้าของเมืองขนาดกลางทั้งเมือง
เศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนคาดว่าจะขยายตัวไปถึงมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 การเติบโตขนาดนี้ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานเอไอและระบบคลาวด์ที่มีความสามารถขยายตัวได้สูงเป็นตัวรองรับ
ตลาดระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีการจัดการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตจาก 3.7 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ เป็น 8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029 หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในเวลาเพียง 5 ปี
“เราไม่เพียงแค่สร้างดาต้าเซ็นเตอร์ แต่เรากำลังสร้างระบบประสาทกลางดิจิทัลที่จะเป็นตัวกำหนดการแข่งขันและการพัฒนาของภูมิภาคในยุคเอไอ” บุศรินทร์กล่าวในตอนท้าย
เธอเน้นย้ำให้เห็นว่า ความสามารถในการปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันและเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติที่กำลังเติบโตขึ้น การที่ไทยจะสามารถคว้าโอกาสนี้มาเป็นของตัวเองได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมในทุกด้านตั้งแต่วันนี้







