’ดีอี‘ ยันไม่ชงครม. หนุนเอ็นที ประมูลคลื่นเข็ดขาดทุนหมื่นล้าน

’ดีอี‘ ยันไม่ชงครม. หนุนเอ็นที ประมูลคลื่นเข็ดขาดทุนหมื่นล้าน

’ดีอี‘ พร้อมตั้งโต๊ะเจรจาสภาผู้บริโภค หลังเรียกร้องให้รัฐ หนุน ’เอ็นที‘ เป็นทางเลือกใช้งานค่ายมือถือ ระบุขาดทุนปีละ 4,000 ล้านบาท ระบุอุ้มต่อไม่ไหวแล้ว

การประมูลคลื่นความถี่โทรคมนาคมกำลังกลายเป็นอีกหนึ่งศึกสำคัญของรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล เมื่อล่าสุด นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ออกมาแสดงท่าที “ขอเบรก” การเข้าประมูลรับจัดสรรคลื่นย่านทั้ง 4 ย่าน 850 MHz 1500 MHz 2100 MHz และ 2300 MHz  ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้พร้อมชี้ชัดว่า บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที ยังไม่มีความชัดเจนทางนโยบาย จึงไม่ควรเร่งเข้าสู่กระบวนการประมูล

การเคลื่อนไหวของนายประเสริฐเกิดขึ้นหลังจาก สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ขอให้สั่ง “ชะลอ” การประมูลคลื่น ด้วยเหตุผลว่า การจัดสรรคลื่นให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนต้องอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใส และความพร้อมของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเอ็นทีซึ่งถือครองคลื่นเหล่านี้จำนวนมาก

ไม่มีมติ ครม. รองรับ = ไม่เข้าประมูล

นายประเสริฐย้ำว่า ไม่ว่าจะตัดสินใจเข้าหรือไม่เข้าร่วมประมูลเอ็นทีต้องเสนอผ่านคณะรัฐมนตรีก่อนเสมอ ดังนั้น เมื่อยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใดรองรับในเรื่องนี้เลย ก็ไม่ควรปล่อยให้เอ็นทีเข้าสู่กระบวนการประมูลดำเนินต่อ เพราะอาจสร้างปัญหาทางกฎหมายในภายหลัง และเสี่ยงให้รัฐเสียประโยชน์

’ดีอี‘ ยันไม่ชงครม. หนุนเอ็นที ประมูลคลื่นเข็ดขาดทุนหมื่นล้าน

“ธุรกิจโมบายของเอ็นทีเป็นภาระขาดทุนต่อเนื่องปีละราว 4,000 ล้านบาท เพราะต้นทุนสูงกว่ารายรับ หากไม่มีการตัดสินใจที่ชัดเจน การใช้เงินสำรองของรัฐจะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นในยุคที่คลื่นความถี่ต้องถูกใช้ให้คุ้มค่า” เขากล่าว

 

หนึ่งในทางออกที่อยู่บนโต๊ะคือ การขายคลื่น หรือให้เอกชนเช่าใช้คลื่นที่เอ็นทีถือครองอยู่ ซึ่งเป็นแนวทางที่กำลังหารือกันในหลายระดับ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเอ็นทีอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจใหม่ และยังไม่มีไทม์ไลน์ที่ชัดเจนว่าจะเสนอเข้าสู่บอร์ดบริหารเมื่อไร

เสนอเปิดเวทีชี้แจงสาธารณะ 

รมว.ดีอี ย้ำว่า ไม่ได้มีเจตนาคัดค้านการบริหารของเอ็นทีแต่ต้องการให้มีความชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบได้โดยเฉพาะเมื่อคลื่นความถี่ถือเป็นทรัพยากรระดับชาติที่มีมูลค่ามหาศาล ดังนั้น จึงต้องฟังเสียงจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะสภาองค์กรผู้บริโภค และควรมีเวทีพูดคุยให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะไปถึงจุดที่ต้องประมูล เพราะหากตัดสินใจผิดพลาด ประชาชนจะเป็นผู้ที่เสียประโยชน์ในที่สุด

โต้เสียงวิจารณ์ยันไม่ขาดทุน

ทางด้าน พ.อ.สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็นที ออกมายืนยันว่า บริษัท “ยังไม่ขาดทุน” ในปี 2568 แม้คลื่นมือถือหลักอย่าง 850, 2100 และ 2300 MHz กำลังจะหมดอายุใบอนุญาตในเดือนสิงหาคมนี้ ประเมินว่า รายได้จะลดลงราว 3,000 ล้านบาท จากรายได้รวม 10,000 ล้านบาทต่อปี โดยจะใช้คลื่น 700 MHz ที่ถืออยู่ 5 MHz รองรับลูกค้าราว 1.6 ล้านเลขหมายแทนคลื่น 850 MHz ที่จะหมดอายุ

การโอนย้ายลูกค้าจะเริ่มแบบ OTA (Over-The-Air) ประมาณ 300,000 เลขหมายภายในสิ้นปีนี้ ส่วนลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์ที่ไม่รองรับคลื่น 700 MHz บริษัทกำลังหาทางออกผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร

ไม่แข่ง 5G – โฟกัส 4G ลดต้นทุน 

เพื่อควบคุมต้นทุน NT จะให้บริการเฉพาะ 4G บนคลื่น 700 MHz โดยไม่ใช้ 5G ซึ่งมีต้นทุนโครงข่ายสูงกว่า พ.อ.สรรพชัยย์ให้เหตุผลว่า “บริการ 4G เพียงพอสำหรับลูกค้าของเอ็นทีทั้งการโทรและใช้งานอินเทอร์เน็ต”

’ดีอี‘ ยันไม่ชงครม. หนุนเอ็นที ประมูลคลื่นเข็ดขาดทุนหมื่นล้าน

นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดพนักงานในส่วนที่เกี่ยวกับบริการมือถือประมาณ 400 คน พร้อมทั้งเปิดโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดที่มีพนักงานเข้าร่วมกว่า 1,000 คน เพื่อให้บริษัทคล่องตัวขึ้น

รอกำไรจาก “ดิจิทัล” ปี 2572

อย่างไรก็ตาม เอ็นทีก็ไม่ปฏิเสธว่า ปี 2569 เป็นต้นไปจะเป็นช่วงที่บริษัทเผชิญภาวะขาดทุนหนัก อาจแตะระดับ 6,000 ล้านบาทต่อปี และต้องรอจนถึงปี 2572 จึงจะเริ่มเห็นกำไรจากธุรกิจดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นบริการ Cloud, IoT, หรือ e-Service ที่กำลังลงทุนอยู่

พ.อ.สรรพชัยย์ยังกล่าวถึงเสียงวิจารณ์ว่าเอ็นที เคยประมูลคลื่น 700 MHz มาในราคาสูงเกินจริง โดยจ่ายถึง 35,000 ล้านบาทสำหรับ 10 MHz แต่ไม่สามารถใช้ได้ตามแผนในช่วง 2 ปีแรก ทำให้ต้องเสียค่าใบอนุญาตล่วงหน้ากว่า 6,000 ล้านบาท ก่อนที่ เอไอเอสจะมาซื้อคลื่น 5 MHz ไปใช้

เขาอธิบายว่า แผนเดิมที่เสนอให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และคณะรัฐมนตรี เป็นแผนที่ขาดทุน แต่คนร.ขอให้ปรับให้ “มีกำไร” โดยเพิ่มโมเดลการใช้คลื่นเพื่อบริการ IoT เข้าไปแทน