‘แฟลช-ปณท-เคอีเอ็กซ์’ ชิงดำ 'สงครามส่งด่วน' จับตา ‘กฏหมายใหม่’ เปลี่ยนเกม

‘แฟลช-ปณท-เคอีเอ็กซ์’ ชิงดำ 'สงครามส่งด่วน' จับตา ‘กฏหมายใหม่’ เปลี่ยนเกม

ยักษ์ใหญ่ขนส่งพัสดุ “ไปรษณีย์ไทย-แฟลช“ โหมกลยุทธ์ชิงส่วนแบ่งตลาด ด้าน ”เคอีเอ็กซ์" ยันไม่ทิ้งไทย แค่ถอยห่างตลาดหุ้น หันปรับโครงสร้างเพิ่มคล่องตัว ภาครัฐเตรียมใช้กฎหมายใหม่คุมเข้มเอกชน ยกระดับมาตรฐาน-คุ้มครองผู้บริโภค แทนกฎหมายเก่าอายุกว่า 90 ปี “บล.บัวหลวง” ชี้อุตฯ ขนส่งยังโตแรง รับแรงหนุนอีคอมเมิร์ซ-พฤติกรรมซื้อออนไลน์

ตลาดอีคอมเมิร์ซที่ยังคงเติบโตอย่างคึกคัก ส่งผลให้การแข่งขันในธุรกิจขนส่งพัสดุทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2568 ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมอย่าง “ไปรษณีย์ไทย” และ “แฟลช เอ็กซ์เพรส” ต่างเปิดเกมรุกเต็มตัว วางกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและยกระดับบริการรับมือตลาดที่ไม่หยุดนิ่งนี้ ขณะที่ ‘เคอีเอ็กซ์’ ยังฮึดปรับทัพสู้

‘แฟลช’มุ่ง‘นิช มาร์เก็ต’-บุกต่างแดน

นายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2566 ว่าบริษัทมีปริมาณพัสดุสูงถึง 900 ล้านชิ้น เฉลี่ยกว่า 3.5 ล้านชิ้นต่อวัน ตอกย้ำการเป็นผู้นำในตลาดขนส่งเอกชน สำหรับแผนการทำตลาดล่าสุดในปี 2567 แฟลชมุ่งเน้นการ เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) โดยเฉพาะตลาดผลไม้ ซึ่งมีการเติบโตสูงกว่า 30% เมื่อเทียบกับปี 2565 ด้วยบริการ “เข้ารับถึงสวนฟรี” ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญในการสร้างความแตกต่างในตลาดที่คู่แข่งรายอื่นยังทำได้อย่างไม่ทั่วถึง

นอกจากนี้ แฟลช ยังเดินหน้าขยายธุรกิจผ่านการผนึกกำลังกับพันธมิตร อาทิ “BULK BULK” สำหรับบริการขนส่งและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ครบวงจร และร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในบริการ “FUZE Post (ฟิ้วซ์ โพสต์)” ซึ่งเป็นการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Express) ที่เตรียมขยายจุดให้บริการรองรับทั้งลูกค้าธุรกิจ (B2B) และลูกค้าทั่วไป (B2C) แฟลชยังเร่งขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันสามารถติดท็อป 3 ในทั้งสองประเทศ และมีแนวโน้มทำกำไรในอนาคตอันใกล้

ปณท.ชูอีเอ็มเอส-โลจิสติกส์สู้

สำหรับรายใหญ่ของตลาดอย่าง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้ขยับเชิงรุกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เผยผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2568 มีรายได้รวม 5,945 ล้านบาท เติบโต 11.83% และมีกำไรสุทธิ 534 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 227% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนและความต้องการบริการที่แข็งแกร่ง

จุดแข็งสำคัญของไปรษณีย์ไทยยังคงอยู่ที่บริการ ส่งด่วนอีเอ็มเอส (EMS) ยังเติบโตต่อเนื่อง 5.94% ในไตรมาสแรกปี 2568 โดยปี 2567 อีเอ็มเอสมีปริมาณงานเติบโตจากปี 2566 ถึง 6.99% และคิดเป็นสัดส่วน 42.76% ของรายได้ทั้งหมด การเติบโตสอดคล้องกับการขยายตัวอีคอมเมิร์ซ และภาคค้าปลีก ไปรษณีย์ไทย ยังขยายบริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร ครอบคลุมสินค้าหลากหลายตั้งแต่ขนาดใหญ่ ยา นมแม่ ไปจนถึงสินค้าเกษตรและของชำร่วย สามารถให้บริการขนส่งระหว่างประเทศครอบคลุมถึง 193 ประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกลที่คู่แข่งเข้าไม่ถึง

นอกจากนี้ ยังก้าวสู่ Information Logistics ด้วยการเปิดตัว “Prompt Post” เพิ่มฟีเจอร์ Digital Postbox และระบบติดตามพาสปอร์ต พัฒนา PromptVote สำหรับระบบลงคะแนนออนไลน์ ทั้งร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง eBay และ Amazon FBA ก่อตั้งพันธมิตร “Regional ASEAN Post Alliance (RAPA)” เพื่อเชื่อมเศรษฐกิจข้ามพรมแดนในภูมิภาค

ตลาดควบคุมอุณหภูมิพุ่ง 201%

ส่วนบริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ หรือ Cold Chain ผ่าน FUZE Post ที่ไปรษณีย์ไทยและแฟลชร่วมกันให้บริการ แสดงให้เห็นถึงดีมานด์ในตลาดที่เติบโตสูงถึง 201% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2566 ความต้องการนี้ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยหลักจากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ, อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์, การบริโภคอาหารสดและอาหารแช่แข็งที่เพิ่มขึ้น สินค้าที่นิยมใช้บริการได้แก่ อาหารทะเลแช่แข็ง/สด เนื้อสัตว์ อาหารสำเร็จรูป ผัก ผลไม้ และอาหารปรุงสุก โดยภูมิภาคที่เติบโตสูงสุดคือภาคใต้และภาคตะวันออก

KEX ไม่ปิดกิจการในไทย

บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX หนึ่งในผู้ประกอบการขนส่งพัสดุเบอร์ต้นๆ ของไทยที่ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งสำคัญ หลังผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) หรือ SFTH เสนอให้เพิกถอนหุ้น KEX ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยสมัครใจ พร้อมประกาศซื้อหุ้นทั้งหมดที่เหลือในตลาดจากนักลงทุนรายย่อย

ย้อนไปเมื่อ 24 ธันวาคม 2563 เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เข้าเทรดในตลาดหุ้นไทย จากราคา IPO ที่ 28 บาท ราคาพุ่งทำสถิติสูงสุดถึง 73 บาท แต่ปัจจุบันราคาหุ้น KEX ดิ่งลงมาเรื่อยๆ บางช่วงลงไปต่ำกว่า 1 บาทเท่ากับหายไปเกือบ 100% และจากผลประกอบการที่เคยทีกำไรหลักพันล้าน กลายเป็นขาดทุนสุทธิต่อเนื่อง

ปัจจุบัน SFTH ผู้ถือหุ้นใหญ่ KEX เตรียมเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดเพื่อเอาบริษัทออกจากตลาด โดยเสนอซื้อหุ้นที่เหลือที่ราคา 1.50 บาทต่อหุ้นจากปัจจุบัน KEX มีราคาหุ้นอยู่ที่ 1.48 บาท เหตุผลที่ SFTH เสนอให้เพิกถอน KEX ไม่ใช่เพราะจะ “ยกเลิกธุรกิจในไทย” แต่เป็นการปรับโครงสร้าง เพื่อเพิ่ม “ความคล่องตัว” ในการบริหารงาน ท่ามกลางสถานการณ์ธุรกิจโลจิสติกส์ที่แข่งขันรุนแรง ราคาต้นทุนสูง และกำไรหดตัวอย่างต่อเนื่อง

สะท้อนผ่านผลประกอบการ KEX ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาปี 2565 มีรายได้ 17,145 ล้านบาท และขาดทุน 2,830 ล้านบาท ปี 2566 มี รายได้ 11,541 ล้านบาท และขาดทุน 3,881 ล้านบาท ปี 2567 มีรายได้ 9,616 ล้านบาท และขาดทุน 5,991 ล้านบาท รวมแล้ว KEX ขาดทุนต่อเนื่องถึง 13 ไตรมาส ติดต่อกัน ทำให้ SFTH มองว่าจำเป็นต้องปรับแผนระยะยาวเพื่อพลิกฟื้นธุรกิจอย่างจริงจัง

แม้จะออกจากตลาดหุ้น KEX ยังมีแผนเดินหน้าพัฒนาธุรกิจในไทยและอาเซียนต่อไปเน้นลงทุนด้านนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพบริการที่มีคุณภาพสร้างการเติบโตระยะยาวอย่างยั่งยืนแต่ SFTH ยังย้ำว่า “ตลาดประเทศไทยยังเป็นส่วนสำคัญของกลุ่ม SF ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

โครงสร้าง “แข่งขันสูง”

นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์(บล.) บัวหลวง กล่าวว่าอุตสาหกรรมขนส่งพัสดุยังมีศักยภาพเติบโตในระยะกลางถึงยาว จากเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงสู่การซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น

อย่างไรก็ดี โครงสร้างการแข่งขันในอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาวะ “แข่งขันสูง” มีผู้เล่นรายใหม่ และทุนข้ามชาติที่มีศักยภาพด้านต้นทุนและเทคโนโลยีเข้ามาดิสรัปตลาดต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตรากำไรเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ในระดับต่ำ ผู้ประกอบการที่มีความสามารถบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในห่วงโซ่โลจิสติกส์ จะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสสร้างความแตกต่างและรักษาความสามารถในการทำกำไรได้เหนือคู่แข่ง

จับตากฎหมายใหม่จัดระเบียบวงการ

ขณะที่ผู้ประกอบการต่างเร่งเครื่องเต็มที่ ภาครัฐ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) อยู่ระหว่างเดินหน้าร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการไปรษณีย์ฉบับใหม่ หลังกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2477 ล้าสมัยกว่า 90 ปี ไม่ครอบคลุมผู้ให้บริการขนส่งเอกชน ทำให้ผู้บริโภคขาดการคุ้มครองและมาตรฐานบริการไม่เท่าเทียมกัน ร่างกฎหมายใหม่อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นช่วงต้นปีที่ผ่านมามีเป้าหมาย ยกระดับมาตรฐานธุรกิจขนส่งพัสดุให้เท่าเทียมกัน ทั้งคุณภาพบริการและการคุ้มครองผู้บริโภค

สาระสำคัญของร่างกฎหมาย ได้แก่ การบังคับให้ผู้ประกอบการขนส่งเอกชนทุกรายต้องขอใบอนุญาตเป็นทางการ กำหนดมาตรฐานบริการที่ชัดเจน และจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการไปรษณีย์ ทำหน้าที่ออกใบอนุญาต ควบคุมอัตราค่าบริการ กำกับการดำเนินงาน และพิจารณาโทษทางปกครอง เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และอุดช่องโหว่จากกฎหมายเดิม ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุอาจต้องเตรียมตัวปรับตัวครั้งใหญ่รับกฎหมายใหม่นี้