อีกมุมหนึ่งจากการประมูลคลื่นความถี่ | ก้าวไกลวิสัยทัศน์

หลังจากการประมูลคลื่นความถี่ 3G ครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว การประมูลคลื่นไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปให้ความสนใจ คิดแค่ว่ารัฐคงได้เงินทองจากคลื่นเหล่านั้นมากมายเท่านั้น
แต่ลืมคิดว่าจะได้เงินมาจากการประมูลมากแค่ไหน สุดท้ายเงินเหล่านั้นก็ไม่ได้มาจากกระเป๋าของผู้ให้บริการโทรคมนาคม แต่มาจากกระเป๋าผู้ใช้บริการอยู่ดี
ในการประมูลครั้งล่าสุดนี้ มีคลื่นชุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ คลื่นความถี่ 26 กิกะเฮิรตซ์ จำนวน 1 ชุดความถี่ ใบอนุญาตละ 100 เมกะเฮิรตซ์ ราคาเริ่มต้น 423 ล้านบาท ความถี่นี้เป็นความถี่ที่ตั้งใจจะใช้ในการสื่อสารยุคที่หก
ถ้าพูดถึง 5G เราอาจไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก คิดกันว่าก็ใช้กันอยู่แล้วทุกวันนี้แล้ว แต่ 5G ที่เราใช้กันอยู่นั้น ยังใช้เพียงแค่บางส่วนของขีดความสามารถของ 5G เราแค่เอามาดูไลฟ์ ประชุมผ่านหน้าจอ ดูหนังฟังเพลง เขียนแชตนินทากันเป็นสำคัญ
งานที่ 5G จริง เช่นงานอุตสาหกรรม งานบริการสุขภาพ หรือแม้แต่การเกษตรแบบแม่นยำ เรายังใช้กันไม่จริงจังนัก อาจจะเป็นเพราะไม่เคยเห็นตัวอย่างการใช้งานแบบก้าวหน้าเหล่านี้ ผู้ให้บริการเขาก็เลยตั้งศูนย์สาธิตงานเหล่านี้ไว้ให้ดูกัน แต่ก็ยังไม่เป็นที่ทราบทั่วกันอยู่ดี 5G จึงยังมีอะไรให้ทำได้อีกเยอะ แล้วเราจะไปสนใจ 6G กันทำไม?
6G ในโลกเรารอบนี้ไม่น่าจะเหมือนกับ 3G 4G เมื่อหลายสิบปีก่อนที่เริ่มต้นมาจากเมืองฝรั่ง มาจากยุโรป โตเร็วในอเมริกา แต่คราวนี้ดูท่าว่าจะมาจากเมืองจีน เนื่องจาก 6G ทำงานเป็นส่วนหนึ่งของ AI และสรรพสิ่งรอบตัวที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้
รถ EV ที่ขับกันอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองจะฉลาดกว่าวันนี้เยอะมากในวันที่ 6G มาถึง ถ้าถามว่า รถ EV ในโลกนี้ส่วนใหญ่มาจากที่ไหน คำตอบคือเมืองจีน อีก 5-6 ปีข้างหน้า หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ จะมามีส่วนมากขึ้นในการทำงานของเราทั้งในบ้าน ในโรงพยาบาล และในอุตสาหกรรม
ถ้าไปร่วมงานวิ่งมาราธอนที่เซี่ยงไฮ้ คงตระหนักได้ว่า ในโลกนี้ ใครเป็นผู้นำเรื่อง Humanoid Robot ในราคาที่เข้าถึงได้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบว่า ทำไมเมืองจีนจึงมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นผู้นำ 6G ของโลกใน 4-5 ปีข้างหน้า
สิทธิบัตร ที่เกี่ยวกับ 6G กว่าหนึ่งในสามของโลกมาจากเมืองจีน ในขณะที่มาจากอเมริกาประมาณ 18 % จีนนำอยู่เกือบหนึ่งเท่าตัว ถ้าเป็นสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องระหว่าง AI กับ 6G จีนเป็นเจ้าของอยู่ 75% กล่าวได้ว่าการวิจัยและพัฒนาที่จำเป็นสำหรับการพัฒนา 6G ส่วนใหญ่อยู่ในมือจีนแล้วในวันนี้
จีนวางแผนไว้ว่าในปี 2569 จะเริ่มทดลองให้บริการ 6G และจะขยายเป็นบริการอย่างจำกัดพื้นที่ในปี 2571 ผู้คนในวงการโทรคมนาคมหลายคนมองว่าการขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วของจีน อาจทำให้ 6G มาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะเมื่อ ITU ตั้งเป้าที่จะกำหนด IMT-2030 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับ 6G ในปี 2571
จากแนวโน้มที่ปรากฏนี้ บ้านเราที่ประกาศกันอยู่เป็นสรณะว่า จะเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน มีเวลาตั้งตัวล่วงหน้าอยู่ 5-7 ปี ถ้าอยากให้ความฝันที่ไม่เคยเป็นจริง กลายเป็นความจริงกันสักครั้ง ในเมื่อ โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมบ้านเราส่วนใหญ่ก็มาจากเมืองจีน ไม่ว่าหน้าร้านจะดูเป็นฝรั่งแค่ไหนก็ตาม รถ EV แทบทั้งหมด มาจากเมืองจีน ใช้ความถี่เดียวกับที่ 6G ทำงานได้ในระบบตรวจสภาพแวดล้อมรอบคัน มี AI ช่วยอำนวยความสะดวกผู้ขับรถ ที่ล้วนมาจากเทคโนโลยีจีนทั้งสิ้น
6G จะมีฤทธิ์เดชได้ ไม่ใช่แค่มีอุปกรณ์ 6G แต่มีงานซอฟต์แวร์และ งาน AI เบื้องหลังที่ต้องจัดทำให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้ 6G ไม่ได้บอกว่าให้ไปทำอุปกรณ์โครงข่าย 6G แข่งกับเมืองจีน แต่กำลังบอกว่า ไหน ๆ กสทช. ท่านที่เคยสอนหนังสือเรื่องโทรคมนาคม ท่านก็เปิดประตู 6G มาแล้ว น่าจะต้องดูว่าจะเตรียมกันอย่างไรให้บ้านเราประสบความสำเร็จกับเทคโนโลยีใหม่ในฐานะผู้นำ แข่งกับบ้านอื่นได้จริงๆ สักครั้ง
เราเคยมี 3G ช้ากว่าเพื่อนบ้านเกือบสิบปี โชคดีที่เราไม่ได้ล่าช้านักในเรื่อง 5G แต่ก็เป็นแบบไม่ช้าไม่เร็วในการใช้ประโยชน์เต็มที่กับสิ่งที่เป็นจุดเด่นของ 5G แม้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ 5G มาแล้ว
ช่วยคิดแล้วทำเรื่องอนาคตของบ้านเมืองกันบ้างเถอะ







