AI บนทางแยกของธุรกิจ

AI บนทางแยกของธุรกิจ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ AI ได้กลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของประเทศมหาอำนาจทั่วโลก ไม่ใช่เพียงเพราะมันเป็นนวัตกรรมล้ำยุคแต่เพราะมันคือแต้มต่อทางเศรษฐกิจที่จะกำหนดว่าใครจะเป็นผู้นำในทศวรรษต่อไป

นักการเมืองชาวอเมริกันเคยกล่าวไว้ว่า ถ้านึกถึงสินค้าที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีมากมายอย่างเช่นการผลิตรองเท้าให้นึกถึงจีน แต่ถ้านึกถึงการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ให้นึกถึงอเมริกาเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐ ไม่ต้องการเปิดโอกาสให้จีนเข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรมไฮเทคนี้โดยเฉพาะด้าน AI

คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นความเข้มข้นของสงครามไฮเทคครั้งล่าสุดที่แม้สหรัฐยังคงเป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์ม ซอฟต์แวร์ และวิสัยทัศน์ด้าน AI แต่องค์กรธุรกิจชั้นนำของจีนก็ไม่ยอมแพ้และพัฒนาเทคโนโลยีของจีน

เช่น DeepSeek ขึ้นมาเป็นทางเลือกในตลาด ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐฯ ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จึงใช้มาตรการภาษีตอบโต้กับประเทศที่ไม่ยอมใช้เทคโนโลยี AI ของสหรัฐฯ เพราะนี่เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนผ่านที่ไม่มีใครยอมเสียเปรียบ

หนึ่งในผู้นำความคิดด้านนี้คือ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ที่เคยกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า AI ไม่ได้เปลี่ยนแค่เครื่องมือการทำงาน แต่มันจะเปลี่ยนโครงสร้างของการทำงานทั้งหมด

เขาเน้นย้ำว่า องค์กรในยุคถัดไปจะไม่สามารถคงรูปแบบการทำงานแบบเดิมได้อีกต่อไป แผนกที่มีอยู่ในปัจจุบันบางแผนกอาจหายไป และแผนกใหม่ที่เกิดขึ้นจะอิงกับข้อมูลอัจฉริยะ การตัดสินใจแบบอัตโนมัติ และการใช้ทรัพยากรคนให้มีประสิทธิภาพที่สุด

AI จึงไม่ใช่เทคโนโลยีที่รอให้พร้อมก่อนแล้วค่อยใช้ หลายองค์กรในวันนี้ยังมอง AI เหมือน ERP  (Enterprise Resource Planning ) หรือ CRM (Customer relationship management) ที่เพียงแค่นำมาปรับใช้งานกับองค์กรก็ช่วยให้ทำงานได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว AI เป็นเรื่องของการเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานและการเปลี่ยนกระบวนการคิดของทั้งองค์กรไปพร้อมกัน

ตัวอย่างเช่นกระบวนการทำงานที่เราเคยคิดว่ามี 10 ขั้นตอน บางที AI อาจช่วยบอกเราว่าขั้นตอนที่ 2–8 นั้นไม่มีความจำเป็นเลยด้วยซ้ำ การประยุกต์ใช้ AI จึงหมายถึงโอกาสในการสร้างประสิทธิภาพให้กับองค์กรอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

แต่จุดอ่อนของการนำ AI มาใช้ในหลายองค์กรคือการเปิดโอกาสให้แค่บางทีมหรือบางแผนกลองใช้ AI แล้วหวังว่าจะได้ผลทั้งองค์กร ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนผ่านยุค AI ต้องอาศัยพลังของคนทั้งองค์กรไม่ใช่แค่แผนกไอทีหรือการตลาด

สำคัญที่สุดคือเจ้าของธุรกิจหรือผู้นำต้องลงมือใช้เองก่อน เพื่อจะเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงสั่งให้คนอื่นทำ แล้วติดตาม KPI เช่นเดียวกับพนักงานก็ต้องพร้อมเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเครื่องมือใหม่จะเกิดขึ้นทุกวัน และมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ ให้ได้ทดลองใช้ตลอดเวลา

เมื่อ AI มีแนวโน้มที่ดีขนาดนี้แต่ทำไมวันนี้ยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในบ้านเรา มีแต่ระดับโลกพูดถึง AI อย่าง OpenAI, Google, Meta และ Deepseek ที่เป็นผู้ค้นคว้าเอง แต่ในเมืองไทยเราที่เป็นผู้ใช้กลับยังไม่เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร ผมคิดว่าสิ่งที่ขาดไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจและการลงมือทำอย่างจริงจัง

และองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมเปลี่ยนโครงสร้าง ทำให้ผู้บริหารหลายคนยังมอง AI เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ได้บางส่วนแต่ไม่ใช่ตัวแปรหลักของอนาคต

ดังนั้นองค์กรที่จะอยู่รอดในยุค AI ไม่ใช่องค์กรที่เก่งที่สุด แต่คือองค์กรที่เรียนรู้ได้เร็วที่สุดและพร้อมที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงให้มากที่สุด