Google กำลังครองบัลลังก์เอไอโลก Apple จะงัดอะไรสู้ใน WWDC 2025?

วิเคราะห์สมรภูมิเจ้าเอไอ: Google เดินเกมก่อนผ่านเวที I/O 2025 เปิดมาด้วย ‘AI Mode’ ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้จริง ขณะที่ Apple ยังต้องพิสูจน์ตัวเองใน WWDC 2025 ว่าจะสามารถยกระดับ Siri ให้สู้คู่แข่งได้หรือไม่
KEY
POINTS
- Google เปิดตัว AI Mode และฟีเจอร์เอไอใหม่ในงาน I/O 2025 ที่ใช้งานได้จริง เช่น Gemini 2.5, AI Summary ใน Google Search, การแปลภาษาเรียลไทม์ และผู้ช่วยเอไอ Astra ตอบสนองตามบริบทแบบเรียลไทม์
- Apple ยังอยู่ระหว่างเตรียมอัปเกรด Siri ด้วย LLM รอเปิดตัวใน WWDC 2025
- AI Summary ของ Google ทำให้ทราฟฟิกเว็บไซต์ลดลง เกิดคำวิจารณ์เรื่องสิทธิ์ของเจ้าของเนื้อหา และผลกระทบต่อสื่อดั้งเดิม
ขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตามองว่า Apple บริษัทผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีระดับโลกจะอัปเกรด “สิริ (Siri)” เวอร์ชันใหม่ในงาน WWDC 2025 เดือนมิถุนายนอย่างไร ด้านคู่แข่งอย่าง Google ก็เดินเกมก่อน ด้วยการเปิดตัว “AI Mode” ณ งาน Google I/O 2025 ที่ผ่านมา สร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการเทคโนโลยีได้เป็นอย่างมาก
ซุนดาร์ พิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Google ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงเต็มในการนำเสนอเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท โดยเกือบทุกช่วงของงานถูกใช้เพื่อเปิดตัวนวัตกรรมเอไอใหม่ๆ ที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดในห้องทดลอง
ภายในงาน Google I/O ปีนี้ บริษัทได้เปิดตัวเทคโนโลยีที่หลากหลาย ตั้งแต่ฟีเจอร์ใหม่ของ Gemini 2.5 แท็บค้นหาแบบปัญญาประดิษฐ์ใน Google Search ฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ใน Google Meet ไปจนถึงการสร้างวิดีโอจากข้อความด้วย Veo เวอร์ชันล่าสุดที่สามารถใส่เสียงประกอบได้
Google ได้เผยความคืบหน้าของโปรเจกต์ “Astra” ผู้ช่วยเอไออัจฉริยะที่สามารถมองเห็นสิ่งเดียวกับผู้ใช้และตอบสนองแบบเรียลไทม์ เช่น เมื่อผู้ใช้ถ่ายรูปชิ้นส่วนจักรยานแล้วถามว่านี่คืออะไร เอไอจะสามารถบอกได้ทันที
Apple อยู่ตรงไหน ในสมรภูมิเอไอนี้?
แม้ Apple จะประกาศวิสัยทัศน์ Apple Intelligence ไปก่อนหน้านี้ และมีข่าวลือว่า Siri กำลังจะถูกยกเครื่องครั้งใหญ่ด้วย LLM (Large Language Model) แต่จนถึงขณะนี้หลายฟีเจอร์ยังอยู่ในสถานะเตรียมเปิดตัวหรืออาจต้องรอถึงปลายปี 2025
เทียบกับ Gemini ของ Google ที่พร้อมใช้งานแล้ววันนี้ และยังวางแผนจะเอาไปใส่ในแว่นตาอัจฉริยะ Android XR ที่คุยกับเราได้ตามบริบทที่เห็น แม้แต่รองประธานอาวุโสฝ่ายบริการของ Apple อย่าง เอ็ดดี้ คิว ยังยอมรับในศาลว่า การค้นหาผ่าน Safari ของ iPhone ลดลงเพราะคนหันไปใช้เอไออื่นๆ แทน ขณะที่ Siri ยังติดอยู่กับรูปแบบเดิมๆ และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูล
เอไอสรุปข้อมูล จุดเปลี่ยนใหญ่ที่ส่งผลต่อทุกเว็บไซต์
การเปิดใช้ฟีเจอร์เอไอสรุปข้อมูล (AI Summary) เต็มรูปแบบใน Google Search เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมันส่งผลกระทบตรงๆ กับเว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์ขายของ และเว็บไซต์ทั่วไป
ซุนดาร์ พิชัย เปิดเผยว่า มีคน 1.5 พันล้านคนใช้ AI Overviews ของ Google เป็นประจำ ข้อมูลจากบริษัท BrightEdge พบว่า อัตราการคลิกผ่าน (CTR) จากการค้นหาของ Google ลดลงเกือบ 30% ในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ผลิตเนื้อหาหลายรายสูญเสียทราฟฟิกและรายได้จากโฆษณา
ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ HouseFresh ซึ่งเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับคุณภาพอากาศ พบว่า ทราฟฟิกจากการค้นหาลดลงถึง 91% ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ สมาคมสื่อมวลชนในสหรัฐออกมาวิจารณ์ว่า การที่กูเกิลใช้เอไอสรุปข้อมูลแล้วแสดงผลให้ผู้ใช้เห็นเลย เท่ากับการขโมยเนื้อหาจากเจ้าของจริงโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับค่าตอบแทน จะทำให้คนไม่ค่อยคลิกเข้าเว็บไซต์ต้นฉบับ ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ของผู้ผลิตเนื้อหา
มีนักเทคโนโลยีและองค์กรสื่อต่างๆ บอกว่า “SEO ตายแล้ว” เพราะกูเกิลแสดงคำตอบในเอไอสำเร็จรูปเลย ทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการคลิกแม้จะมีเนื้อหาดีที่สุด แม้แต่เอไอของ Google ยังยอมรับเองว่าฟีเจอร์นี้จะทำให้ Google มีอำนาจมากขึ้น และเจ้าของเว็บไซต์ควรกังวลเรื่องทราฟฟิกที่จะลดลง
Google ไม่ได้ทำแค่เอไอ แต่ทำ ‘ธุรกิจเอไอ’
แม้การลดลงของ CTR จะเป็นความท้าทาย แต่ Google ได้ปรับตัวโดยการเพิ่มโฆษณาใน AI Mode และ AI Overviews เพื่อรักษารายได้จากโฆษณา ซึ่งในปี 2024 บริษัทมีรายได้จากโฆษณาสูงถึง 265 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ Google ยังเปิดตัวแพ็กเกจ “Ultra” ราคา 250 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งให้สิทธิ์เข้าถึงเอไอขั้นสูงและพื้นที่เก็บข้อมูล 30 TB แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างรายได้จากบริการเอไอโดยตรง สิ่งที่ Google ทำไม่ใช่แค่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน Google ยังทดสอบฟีเจอร์เอไอที่ซื้อตั๋วคอนเสิร์ต จองร้านอาหาร ค้นหาผ่านวิดีโอสด และเข้าถึงข้อมูลใน Gmail เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Google ไม่ได้มองเอไอเป็นแค่ฟีเจอร์เสริม แต่เป็นแกนหลักของธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้และเก็บข้อมูลผู้ใช้เพิ่มขึ้นได้
บทเรียนที่ Apple (และทุกคน) ควรเรียนรู้
ความได้เปรียบของ Google ไม่ได้มาจากแค่เทคโนโลยีดีเท่านั้น แต่เพราะพวกเขามีโครงสร้างธุรกิจที่พร้อมรับเอไอตั้งแต่ต้น ทุกบริการของ Google ไม่ว่าจะเป็น Search, Gmail, Meet, Photos, Maps, รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ใส่เอไอเข้าไปได้อย่างลื่นไหล
ส่วน Apple แม้จะมีระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง แต่ยังต้องอาศัยบริษัทอื่นอย่าง OpenAI ในบางฟีเจอร์ และยังสร้างผู้ช่วยเอไอที่เก่งเท่า Gemini ไม่ได้ ขณะที่ Google มีข้อมูลผู้ใช้มหาศาลจากการค้นหา 136 พันล้านครั้งต่อเดือน เทียบกับ ChatGPT ที่มีแค่ 4 พันล้านครั้ง
บทเรียนสำคัญคือ ไม่ใช่แค่ว่าใครจะทำเร็วกว่ากัน แต่คือใครจะทำเอไอให้เป็นประโยชน์ได้จริง ทั้งสำหรับผู้ใช้ การทำเงิน และความรับผิดชอบต่อสังคม สำหรับนักธุรกิจ สื่อมวลชน นักการตลาด และผู้ผลิตเทคโนโลยี การมองข้ามสิ่งที่ Google ทำวันนี้ เหมือนการหลับตาขณะเกิดแผ่นดินไหว
สิ่งที่ Google ทำสำเร็จในงาน I/O 2025 คือ การพิสูจน์ว่า “เอไอที่ดีที่สุดคือ เอไอที่คนใช้แล้วชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่เอไอที่มีแค่สเปคสูงๆ” อย่างไรก็ตาม เอไอเป็นเกมที่ยังไม่มีผู้ชนะชัดเจน ประเด็นที่น่าจับตามองต่อไปคือ Apple จะตอบโต้ด้วยอะไรใน WWDC 2025
อ้างอิง: Toms Guide, The Guardian และ The Verge







