ส่องควันหลงวิกฤติ 'เน็ตล่ม' สะท้อนช่องโหว่โครงสร้างพื้นฐานโทรคมฯ

วิกฤติเน็ตล่มเขย่าทั้งประเทศ สภาผู้บริโภคจี้ กสทช. บังคับเยียวยาอัตโนมัติ-ชี้ตลาดมือถือไทยผูกขาด สุ่มเสี่ยงความมั่นคงไซเบอร์ เสนอรัฐต้องหนุนหลัง 'เอ็นที' เป็นผู้เล่นรายที่ 3 ถ่วงดุลตลาดมือถือ
จากเหตุการณ์ “อินเทอร์เน็ตทรูล่มทั่วประเทศ” ยังคงระอุในสังคม หลังเครือข่ายของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เกิดเหตุขัดข้องนานต่อเนื่องกว่า 5–10 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา สร้างความเสียหายในวงกว้าง ที่ไม่สามารถใช้งานมือถือ อินเทอร์เน็ตบ้าน แอปพลิเคชันการเงิน และระบบนัดหมายต่าง ๆ ได้
‘ระบบล่ม’ ไม่ใช่เรื่องเล็กกระทบผู้ใช้ครึ่งประเทศ
โดยบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าปัญหาเกิดจากระบบไฟฟ้าขัดข้องที่ศูนย์โครงข่ายหลัก (Core Network) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการให้บริการ ทำให้ต้องใช้เวลาตรวจสอบ และแก้ไขอย่างรอบคอบ ซึ่งทีมวิศวกรได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทั้งในส่วนของการค้นหาสาเหตุเพื่อดำเนินการแก้ไข และการทยอยโอนย้ายลูกค้าไปยังศูนย์โครงข่ายหลักอีกแห่งหนึ่ง เพื่อบรรเทาผลกระทบ และให้ลูกค้ากลับมาใช้งานได้เร็วที่สุด
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนความไม่พอใจของผู้ใช้งานทรู หลังจากที่ทรูออกมาตรการเยียวยา ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบในตอนแรกโดยจะมอบดาต้า 10 GB + โทรฟรี 100 นาที ซึ่งสามารถใช้งานได้ใน 24 ชั่วโมง ซึ่งหลายคนระบุว่าตัวเองใช้แพคเก็จที่เป็นอันลิมิเต็ด ดังนั้น การเยียวยาดังกล่าวแทบจะไม่ได้ช่วยเหลือแต่อย่างใด จึงทำให้สำนักงาน กสทช. ต้องเรียกผู้บริหารระดับสูงของทรูหารือและให้เพิ่มมาตรการเยียวยาให้กับลูกค้าโดยด่วน
จนล่าสุด ทรูประกาศมาตรการดูแลเพิ่มเติม มอบ “ดาต้า 10 GB + โทรฟรี 100 นาที” นาน 3 วันให้ลูกค้าเติมเงิน และลดค่าบริการ 1 วันสำหรับลูกค้ารายเดือน โดยไม่ต้องกดรับสิทธิ์ เริ่มมีผลวันที่ 15 มิถุนายน 2568
มาตรการเยียวยา “ไม่สะท้อนความเสียหายจริง”
นางสาวจุฑา สังขชาติ อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ทรูล่มในครั้งนี้มีผลกระทบมากกว่าแค่ “การใช้งานไม่ได้ชั่วคราว” เพราะทรูมีฐานผู้ใช้กว่า 62.93 ล้านเลขหมาย รวมทั้งลูกค้าโทรศัพท์มือถือและลูกค้าทรูอินเตอร์เน็ต หรือเกือบ 58% ของตลาด ซึ่งทำให้เมื่อระบบล่ม ก็เหมือน “ระบบสื่อสารของประเทศหยุดนิ่ง” โดยไม่ทันตั้งตัว
มาตรการดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่า ไม่สะท้อนความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้บริการรายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบในวงกว้าง
สภาผู้บริโภคยังตั้งคำถามถึงสาเหตุของระบบล่มว่า แท้จริงแล้วเกิดจากอะไร เป็นความผิดพลาดในการอัปเกรดระบบของทรูเองหรือไม่ มาจากระบบไฟฟ้าตามที่ทูได้ประกาศออกมา หรือเกิดจากการถูกโจมตีไซเบอร์จากภายนอก หากเป็นกรณีหลัง ยิ่งตอกย้ำความเปราะบางของโครงสร้างโทรคมนาคมไทยที่พึ่งพาเพียงสองเครือข่ายหลัก คือ ทรู และ เอไอเอส มากเกินไป
ในขณะเดียวกัน เธอ ยังมีการอ้างอิงถึง ประกาศ กสทช. ปี 2549 ข้อ 14 ที่ระบุว่า หากผู้ใช้บริการไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ผู้ให้บริการไม่มีสิทธิเรียกเก็บค่าบริการในช่วงเวลาดังกล่าว แต่กรณีนี้ ทรูกลับลดค่าบริการเพียง 1 วัน ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับข้อกฎหมาย และยังไม่มีการเปิดเผยว่าผลกระทบเกิดในพื้นที่ใด กลุ่มใด มากน้อยเพียงใด
เมื่อตลาดส่อผูกขาด = ความเสี่ยงประเทศ
เสียงวิจารณ์ยังโยงไปถึงประเด็น “ตลาดมือถือผูกขาด” ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อ “ความมั่นคงทางไซเบอร์” และ “สิทธิของผู้บริโภค” โดยเฉพาะเมื่อบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ กลับมีส่วนแบ่งตลาดเหลือเพียง 1.26% หรือราว 1.4 ล้านเลขหมาย และกำลังถูกกระแสเทคโอเวอร์จากผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด
“ประเทศต้องมีผู้เล่นรายที่ 3 จริง ๆ ที่แข็งแรงพอจะถ่วงดุลตลาดมือถือ ไม่ใช่มีแค่ 2 เจ้าใหญ่ที่ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น และพอเกิดเหตุล่ม ก็เหมือนชีวิตทั้งประเทศหยุดนิ่งทันที” จุฑากล่าว
พร้อมเสนอให้รัฐสนับสนุนเอ็นทีให้ยืนอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง เป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการความมั่นคงและไม่ถูกผูกขาด
นอกจากการเรียกร้องให้ตรวจสอบและเยียวยาในกรณีนี้แล้ว สภาผู้บริโภคยังเสนอให้ การประมูลคลื่นความถี่เดือนมิถุนายน 2568 ต้องมี “เงื่อนไขเยียวยาผู้บริโภค” เป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้การถือครองคลื่นซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ กลายเป็นสิทธิผูกขาดของเอกชนเพียงเพื่อแสวงหากำไร
ขณะเดียวกันยังมีข้อเสนอให้ รัฐจัดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตกลางสำรอง เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน ลดการพึ่งพาโครงข่ายของเอกชนรายใหญ่ และสร้างกลไกความมั่นคงทางดิจิทัลที่ยั่งยืนในระยะยาว







