คนรุ่นใหม่คือทางเลือกใหม่

คนรุ่นใหม่คือทางเลือกใหม่

การให้พื้นที่แก่พนักงานรุ่นใหม่อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปในระยะยาว

เกริ่นไว้ในสัปดาห์ที่แล้วถึงการปรับตัวขององค์กรให้พร้อมรับคนรุ่นใหม่ เพราะนั่นอาจเป็นทางรอดขององค์กรยุคดิจิทัลเพราะในโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในสถานที่ทำงานกลายเป็นประเด็นสำคัญที่องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญ

โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นใหม่ที่เป็น Digital Native ก้าวขึ้นมามีบทบาทมากขึ้น องค์กรจำเป็นต้องปรับวิธีคิดและแนวทางการบริหารอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถอยู่รอด เติบโต และสร้างนวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง การเปิดใจและเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่จึงเรื่องจำเป็นที่องค์กรต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ

ประการแรกต้องเปิดรับความเห็นของคนรุ่นใหม่ ไม่ดูแคลนความแตกต่าง เพราะหนึ่งในข้อผิดพลาดที่องค์กรจำนวนมากมักเผลอทำ คือการดูถูกหรือไม่ให้ความสำคัญกับความเห็นของคนรุ่นใหม่ ด้วยเหตุผลว่าพวกเขายังไม่มีประสบการณ์มากพอ หรือมีวิธีคิดที่แตกต่างจากรูปแบบเดิมที่เคยใช้กันมา

ทั้งที่ในความจริงแล้ว คนรุ่นใหม่นี่เองที่เข้าใจเทคโนโลยีดิจิทัลมากที่สุด และสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วในทุกแพลตฟอร์ม เพราะพวกเขาเติบโตมากับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน โซเชียลมีเดีย หรือเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ ที่องค์กรยังอาจใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

การให้พื้นที่แก่พนักงานรุ่นใหม่ในการเสนอแนวคิด หรือออกแบบระบบงาน โดยเฉพาะในเรื่องของ ระบบ Automation หรือการปรับใช้เทคโนโลยี เช่น AI, Chatbot, หรือ Platform ต่างๆ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปการทำงานภายในองค์กรในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การทำงานร่วมกับคนรุ่นใหม่ไม่ควรเป็นการ “สั่ง” หรือ “บอกทาง” อย่างเดียว แต่ควรเป็นการ แนะนำในแบบที่เปิดโอกาสให้เขาได้ลองผิดลองถูก เพราะคนรุ่นใหม่นั้นมีธรรมชาติที่กล้าลอง กล้าล้ม และกล้าลุกขึ้นมาใหม่ ไม่ต่างจากเด็กที่กำลังหัดเดิน

ประการที่สองต้องสนับสนุนแม้จะผิดพลาด แต่เน้นให้ได้ลองและเรียนรู้ไปด้วยกัน โดยเราต้องเข้าใจการเติบโตของคนรุ่นใหม่ในองค์กรไม่ได้เกิดจากความสมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้น แต่เกิดจากโอกาสในการเรียนรู้จากความผิดพลาด หากองค์กรต้องการเห็นคนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักที่แท้จริงในอนาคต

การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องคือหัวใจสำคัญ แม้เขาจะเลือกวิธีการที่ไม่ถูกต้องนัก หรือยังไม่สอดคล้องกับแนวทางที่องค์กรเคยใช้ แต่การเปิดโอกาสให้เขาได้ลองหนทางใหม่ๆ โดยไม่มีการตำหนิหรือซ้ำเติม จะสร้างความมั่นใจและความผูกพันระยะยาวได้มากกว่า

สิ่งสำคัญคือคำแนะนำจากความผิดพลาดเหล่านั้น เพื่อให้เขาเห็นจุดที่ควรปรับปรุง เช่น อธิบายว่าขั้นตอนไหนมีข้อบกพร่อง เพราะอะไร และจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร แทนที่จะบอกว่า “ผิด” แต่เพียงอย่างเดียว คนรุ่นใหม่จะสามารถนำข้อแนะนำเหล่านั้นไปปรับใช้ และพัฒนาแนวคิดของตนเองต่อได้อย่างเป็นระบบ

ประการที่สามเปลี่ยนวิธีสื่อสาร เน้นการสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนและมีส่วนร่วม เพราะสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่างาน คือวิธีการสื่อสารและความรู้สึกว่าตนเองมีค่า โดยพวกเขาไม่ต้องการคำสั่งหรือคำปฏิเสธที่เป็นการปิดกั้นความคิด เช่นอย่าทำแบบนี้ อย่าลองแบบนั้น แต่ต้องการการสื่อสารเชิงบวกที่เปิดโอกาสให้ได้คิดและปรับปรุง

การเปลี่ยนวิธีสื่อสารจะส่งผลต่อความรู้สึกของพนักงานรุ่นใหม่ต่อองค์กรโดยตรง การพูดคุยในลักษณะให้กำลังใจ และไม่ปิดกั้นความคิด จะทำให้เขารู้สึกว่าองค์กรนี้รับฟังและให้โอกาส ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ทรงพลังในการสร้างความมุ่งมั่นและความจงรักภักดี

เหมือนกับในเรื่องเล่าจีนโบราณ มีตอนหนึ่งกล่าวถึงฮ่องเต้ที่ต้องการให้รถม้าใช้ล้อขนาดใหญ่ขึ้น เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้เดินทางได้เร็วขึ้น จึงประสงค์จะแก้กฎหมายให้ประชาชนทุกคนต้องเปลี่ยนล้อรถม้าให้ใหญ่กว่าเดิม และหากผู้ใดไม่ทำตามจะมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต

อย่างไรก็ตาม ข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิดได้เสนอแนวทางใหม่ที่ชาญฉลาดยิ่งกว่า โดยแนะนำว่าแทนที่จะบังคับหรือใช้ความรุนแรง ควรเปลี่ยนวิธีการสื่อสารเป็นเชิงบวก ด้วยการกระจายข่าวว่าอีกไม่นานจะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่หากล้อยังเล็กจะลุยน้ำไม่ได้ เมื่อประชาชนได้ยินข่าวเช่นนั้น ต่างพากันเปลี่ยนล้อด้วยตนเองโดยไม่ต้องออกกฎหมายบังคับหรือลงโทษใครเลย

เรื่องนี้สะท้อนหลักคิดสำคัญเกี่ยวกับการสื่อสารอย่างมีศิลปะว่าการจูงใจด้วยเหตุผลและประโยชน์ร่วม สามารถส่งผลได้มากกว่า องค์กรจึงควรเลือกใช้การสื่อสารเชิงบวก และเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมมากขึ้นเช่น

การให้โอกาสเสนอไอเดียในเวทีประชุม หรือการเปิดพื้นที่ให้พนักงานทุกคนสามารถแชร์แนวคิดอย่างอิสระ สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นต้นทุนสำคัญในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สอดรับกับโลกยุค Big Data, IoT, และ AI