มาแล้ว! กฎหมายกับการคุ้มครองรายได้ "เด็กอินฟลูเอนเซอร์"

ในยุคที่โลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและสื่อดิจิทัล เด็กจำนวนไม่น้อยได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, TikTok หรือ Instagram
ซึ่งในหลายกรณีเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของรายได้ให้กับครอบครัว ท่ามกลางยอดวิวหลายล้านครั้งและรายได้จำนวนมากเด็กเหล่านี้กลับไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในระดับเดียวกับนักแสดงเด็กในวงการบันเทิงแบบดั้งเดิม
ด้วยเหตุนี้รัฐแคลิฟอร์เนียจึงได้ออกกฎหมายสองฉบับ ได้แก่ Assembly Bill 1880 (AB 1880) และ Senate Bill 764 (SB 764) เพื่อปกป้องสิทธิทางการเงินและความมั่นคงของเด็กที่ทำงานในสื่อดิจิทัลอย่างจริงจัง
ย้อนกลับไปในปี 2481 สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายที่เรียกว่า Coogan’s Law เพื่อปกป้องรายได้ของเด็กนักแสดง หลังจากกรณีของ Jackie Coogan ดาราเด็กผู้โด่งดังในยุคนั้นถูกพ่อแม่ใช้เงินที่เขาหามาได้จนหมด
กฎหมายนี้กำหนดให้ 15% ของรายได้จากงานบันเทิงต้องถูกฝากไว้ในบัญชีทรัสต์ที่ไม่สามารถเบิกถอนได้จนกว่าเด็กจะบรรลุนิติภาวะ
Coogan’s Law กลายเป็นรากฐานของกฎหมายที่ปกป้องสิทธิเด็กในอุตสาหกรรมบันเทิงแบบดั้งเดิม แต่ในโลกยุคใหม่ที่เด็กไม่ได้เป็นลูกจ้างของสตูดิโอใหญ่หากแต่ผลิตเนื้อหากับครอบครัวเอง กฎหมายฉบับเดิมก็ไม่อาจครอบคลุมความซับซ้อนในรูปแบบการทำงานใหม่ของเด็กอินฟลูเอนเซอร์ได้อีกต่อไป
AB 1880 จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว โดยขยายความหมายของงานบันเทิงให้รวมถึงเด็กที่เป็นผู้สร้างเนื้อหาดิจิทัล (digital content creators) และมีรายได้จากการทำสัญญากับบุคคลหรือบริษัทภายนอก กฎหมายกำหนดให้นายจ้างหรือผู้ว่าจ้างต้องกันรายได้ 15% ของรายได้รวมเข้าบัญชีทรัสต์
พร้อมกำหนดให้ต้องมีเอกสารรับรองการจ่ายเงิน ตรวจสอบได้และส่งเสริมความโปร่งใสของการบริหารจัดการรายได้ของเด็กอย่างรัดกุม ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อเด็กโตขึ้นจะสามารถเข้าถึงรายได้ที่ตนเองสมควรได้รับโดยไม่มีการเบียดบังจากครอบครัวหรือบุคคลรอบข้าง
ในขณะที่ AB 1880 มุ่งเน้นการคุ้มครองเด็กที่ทำสัญญาในฐานะผู้สร้างเนื้อหา กฎหมาย SB 764 หรือ Child Content Creator Rights Act มุ่งเป้าไปที่เด็กในครอบครัววล็อกเกอร์หรือ family vloggers ซึ่งเป็นกรณีที่พ่อแม่สร้างรายได้จากการถ่ายวิดีโอชีวิตประจำวันของลูก ๆ โดยที่เด็กเหล่านั้นมิได้ทำสัญญาโดยตรงกับบุคคลภายนอก
กฎหมายนี้กำหนดว่าหากเด็กปรากฏใน 30% ของวิดีโอขึ้นไป และครอบครัวมีรายได้จากเนื้อหาเกิน 1,250 ดอลลาร์ต่อเดือน พ่อแม่ต้องกันเงิน 65% ของรายได้ส่วนที่เกี่ยวข้องกับเด็กเข้าสู่บัญชีทรัสต์
โดยคิดจากรายได้รวม เช่น หากรายได้จากวิดีโอหนึ่งอยู่ที่ 20,000 ดอลลาร์และเด็กปรากฏใน 50% ของเวลา จะต้องกันเงิน 6,500 ดอลลาร์ให้เด็กโดยตรง พร้อมทั้งต้องจัดทำเอกสารรับรองภายใต้บทลงโทษหากให้ข้อมูลเท็จ รวมถึงเก็บข้อมูลรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด
กฎหมายทั้งสองฉบับได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจาก Demi Lovato อดีตนักแสดงเด็กและศิลปินระดับโลกซึ่งเคยประสบปัญหาทางการเงินในวัยเยาว์เช่นกัน เธอกล่าวว่า เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับเด็กในยุคดิจิทัล เราต้องมีระบบที่คุ้มครองพวกเขา
ด้านผู้ว่าการรัฐ Gavin Newsom ย้ำว่าในอดีตคือการเอาเปรียบเด็กนักแสดง วันนี้คือการเอาเปรียบเด็กอินฟลูเอนเซอร์และรัฐแคลิฟอร์เนียจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีก
อย่างไรก็ตามมีเสียงจากผู้ผลิตเนื้อหาบางกลุ่มที่กังวลว่า การกันเงินจากรายได้รวมโดยไม่หักต้นทุนการผลิต เช่น ค่าจ้างทีมงาน ค่ากล้อง หรือค่าทนาย อาจเป็นภาระต่อ vloggers รายเล็ก ซึ่งรัฐต้องพิจารณาหาทางปรับให้เหมาะสมในเชิงปฏิบัติ
ในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่มุ่งคุ้มครองรายได้ของเด็กอินฟลูเอนเซอร์โดยตรง แม้จะมีกฎหมายหลายฉบับที่สามารถตีความเพื่อปกป้องเด็กได้ในบางแง่มุม แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของวงการอินฟลูเอนเซอร์ในปัจจุบัน
หนึ่งในกฎหมายพื้นฐานที่เกี่ยวข้องคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตร มาตรา 1561 ถึง 1584/1 ซึ่งกำหนดให้ผู้ปกครองมีหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ของบุตรอย่างสุจริต
หากผู้ปกครองใช้รายได้ของเด็กเพื่อประโยชน์ตนเองโดยมิชอบ อาจเข้าข่ายละเมิดหน้าที่ แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องแยกรายได้ไว้ในบัญชีพิเศษอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับ Coogan’s Law ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่บังคับให้กันรายได้บางส่วนไว้ให้เด็กใช้เมื่อบรรลุนิติภาวะ
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดช่องว่างทางกฎหมายที่อาจทำให้เด็กอินฟลูเอนเซอร์ในไทยถูกแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบทั้งจากครอบครัวหรือบุคคลที่ควบคุมช่องทางรายได้ของพวกเขา
ปัจจุบันยังไม่มีระบบบังคับให้เปิดบัญชีทรัสต์หรือแยกรายได้ไว้ให้เด็กโดยเฉพาะและไม่มีกลไกตรวจสอบการใช้รายได้ที่เกิดจากการใช้ภาพลักษณ์ ชื่อเสียง หรือความสามารถของเด็กในสื่อดิจิทัล ส่งผลให้เด็กจำนวนมากอาจไม่ได้รับการปกป้องสิทธิทางเศรษฐกิจของตนในระยะยาว
เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยควรพิจารณาออกกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองรายได้ของเด็กจากสื่อออนไลน์โดยกำหนดให้กันเงินรายได้ส่วนหนึ่งไว้ให้เด็กและให้เด็กสามารถเข้าถึงได้เมื่อโตขึ้น พร้อมกับวางระบบกำกับดูแลเอเจนซี่ ผู้ว่าจ้าง และผู้ปกครองอย่างโปร่งใส
ทั้งนี้ ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว ไม่ให้กฎหมายเป็นภาระจนเกินไปและควรเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการรับรู้และตรวจสอบรายได้ของตนเองเมื่อมีวุฒิภาวะเพียงพอ
กฎหมายลักษณะนี้จะไม่เพียงคุ้มครองสิทธิเด็ก แต่ยังช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมสื่อดิจิทัลในไทยให้ยั่งยืนและเป็นธรรมยิ่งขึ้น







