ดีอี หนุนศูนย์ฯ AOC ฟอร์มทีมตั้งบอร์ด ชี้ขาดข้อพิพาทคดี 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์'

ดีอี หนุนศูนย์ฯ AOC ฟอร์มทีมตั้งบอร์ด ชี้ขาดข้อพิพาทคดี 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์'

AOC เดินหน้าเต็มสูบ รับลูกนายกฯตรวจสอบบริษัทเพื่อนบ้านเอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เร่งนัดประชุมแบงก์-ค่ายมือถือ ถกมาตรการเข้มป้องดูดเงิน พร้อมตั้งบอร์ดพิจารณาข้อร้องเรียนประชาชน ชี้ขาดความผิดหน่วยงานบกพร่อง

นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือ AOC 1441 กล่าวว่า  หลังจากพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ 13 เม.ย. 2568 และมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ล่าสุด นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ได้รับข้อสั่งการมาจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ ศปอท. ลงไปตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องของประเทศเพื่อบ้าน อาทิ เมียนมาร์ กัมพูชา ที่มาใช้บริการด้านโทรคมนาคมกับบริษัทในประเทศไทยว่า นำโครงข่ายที่เช่าใช้นั้นไปให้บริการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ เพื่อนำเสนอการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จ.สระแก้ว เดือนก.ค.ที่จะถึงนี้

สำหรับการขับเคลื่อนการทำงานตาม พ.ร.ก.ใหม่ นั้น ศปอท. เตรียมเชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประชุมหาข้อสรุปมาตรการทางกฎหมายร่วมกันเพื่อกำหนดระยะเวลาในการปกป้อง ปิดกั้น และระงับการโอนเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในวันที่ 24 พ.ค. 2568 นี้ 

นอกจากนี้ ศปอท.ต้องมีการตั้งคณะกรรมการตามกฎหมาย เพื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนต่างๆโดยมีปลัดกระทรวงดีอีเป็นประธานบอร์ดในการชี้ขาดเรื่องร้องเรียนว่า ความผิดอยู่ที่ใคร และต้องรับผิดชอบตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร ตามมาตรการที่แต่ละหน่วยงานกำหนดร่วมกัน 

นายเอกพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ศปอท.อยู่ระหว่างการร่างโครงสร้างหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอและเหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน  รวมถึงจะต้องจัดทำระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามมาตราต่าง ๆ ตาม พ.ร.ก. (ด้านการแสดงผลหรือสถานะ การสั่งการ การวิเคราะห์ การติดตาม และการรายงาน) เพื่อขอจัดสรรงบประมาณในการทำงานต่อไป

“เมื่อ ศปอท. มีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่เดียว ก็ทำให้การและมีอำนาจในการสั่งการรวดเร็วขึ้น จากที่แต่ก่อนเป็นเพียงลักษณะของความร่วมมือ ดังนั้นประชาชนจึงสามารถเข้ามาร้องเรียนที่ ศปอท.ได้ที่เดียว ซึ่งเรามีหน้าที่ระงับธุรกรรมการเงินให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องการคืนเงินเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องดำเนินการทางคดีต่อไป ”