โอกาสทองหรือภัยคุกคาม ผลกระทบนโยบายภาษีสหรัฐต่ออุตอิเล็กฯไทย

สัปดาห์ที่แล้วผมเขียนถึงผลกระทบต่ออุตฯเซมิคอนดักเตอร์ และ เอไอที่อาจเกิดขึ้น แม้เซมิคอนดักเตอร์จะได้รับการยกเว้นจากภาษีตอบโต้ และสหรัฐฯประกาศเลื่อนไปอีก 90 วัน
สัปดาห์ที่แล้วผมได้เขียนถึงผลกระทบต่อ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และ เอไอ ที่อาจเกิดขึ้น ว่าแม้เซมิคอนดักเตอร์จะได้รับการยกเว้นจากภาษีตอบโต้ และสหรัฐฯ ยังประกาศเลื่อนการใช้ภาษีตอบโต้ออกไปอีก 90 วัน เปิดโอกาสให้มีการเจรจาการค้า
แต่สำหรับประเทศจีน ภาษีตอบโต้กลับถูกเพิ่มขึ้นเป็น 145% ซึ่งอาจมีผลให้สินค้าเทคโนโลยีไอที และเซมิคอนดักเตอร์ที่จะนำเข้าสหรัฐฯ ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตามพอวันที่ 11 เม.ย. 2568 ทาง U.S. Customs and Border Protection (CBP) ก็ออกมาประกาศให้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ ได้รับการยกเว้นจากภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสินค้าเหล่านี้จะได้รับการยกเว้นจากภาษีทั้งหมด
สินค้าที่นำเข้าจากจีนยังคงต้องเสียภาษีภายใต้มาตรา 301 ที่มีอยู่เดิม (เช่น 25% สำหรับเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในอนาคต) และเมื่อพิจารณาจากพิกัดศุลกากรมีข้อสังเกตว่า สินค้าอย่างหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) ก็อาจไม่ได้รับการยกเว้นจากภาษีพื้นฐาน 10% และภาษีตอบโต้ที่อาจมีผลใช้บังคับหลังจากพ้น 90 วัน
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แถลงอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะจัดทำมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แยกต่างหากจากสินค้าหมวดอื่นๆ และรัฐบาลสหรัฐฯ เองได้เริ่มการสอบสวนด้านความมั่นคงชาติเกี่ยวกับการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์
โดยการสอบสวนนี้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 และมีกำหนดเสร็จสิ้นภายใน 270 วัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินว่าการพึ่งพาการนำเข้าสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงชาติหรือไม่ โดยมีการคาดการณ์ว่าผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ของการสอบสวนนี้รวมถึงการแนะนำมาตรการเพิ่มเติม เช่น การกำหนดภาษีหรือโควตาการนำเข้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในและลดการพึ่งพาต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลัก
ประเทศไทยแม้จะไม่ได้เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ แต่เราก็มีการส่งออกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์มูลค่าค่อนข้างสูง
สถาบันไอเอ็มซี เข้าไปทำงานให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ วิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ และได้จัดทำ Dashboard แสดงไว้ที่เว็บ คิดค้า.com ที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปสืบค้นข้อมูลได้
ตัวเลขที่น่าสนใจในปี 2567 ที่ผ่านมาพบว่า ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 300,529 ล้านดอลลาร์ โดยส่งออกไปที่สหรัฐฯ มากสุดคือ 54,956 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีน 35,243 ล้านดอลลาร์ ญี่ปุ่น 23,286 ล้านดอลลาร์ และมาเลเซีย 12,335 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากแยกหมวดสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ตามรหัสของกระทรวงพาณิชย์จะพบว่า เป็นสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์สูงถึง 21,026 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งออกเป็นสินค้าที่สำคัญคือ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ 10,568 ล้านดอลลาร์ โทรศัพท์และอุปกรณ์ 4,657 ล้านดอลลาร์ และเซมิคอนดักเตอร์ 2,484 ล้านดอลลาร์
โดยประเทศไทยมีสัดส่วนการนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้สู่สหรัฐฯ เกือบ 6% เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ บริษัทรายใหญ่ๆ ที่ส่งสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐฯ ก็คือบริษัทของสหรัฐฯ เองที่มาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย
หากมาพิจารณาในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เราส่งออกไปทั่วโลกจะมีมูลค่าทั้งสิ้น 52,940 ล้านดอลลาร์ นอกจากการส่งออกไปสหรัฐฯ 21,026 ล้านดอลลาร์ จะมีตลาดส่งออกอันดับรองลงมาคือ ฮ่องกง 4,964 ล้านดอลลาร์ จีน 4,397 ล้านดอลลาร์ และเนเธอร์แลนด์ 3,012ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ตัวเลขการวิจัยโดยสถาบันไอเอ็มซี และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) พบว่า ในปี 2566 มีบริษัทในประเทศไทยที่จดทะเบียนในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์จำนวน 1,462 บริษัท มีรายได้รวมกันทั้งสิ้น 1,172,116 ล้านบาท และมีการจ้างงานรวม 238,013 คน
จากตัวเลขต่างๆ ที่สรุปมาจะเห็นได้ว่า หากสหรัฐฯ มีการขึ้นภาษีเซมิคอนดักเตอร์ก็คงน่าจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทางด้านนี้พอควร เพราะนอกจากเจอภาษีส่งออกไปยังสหรัฐที่สูงขึ้นเราคงยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าจีนราคาถูกที่อาจมาทุ่มตลาดไทยและอาเซียน
เมื่อถูกปิดกั้นจากตลาดสหรัฐฯ ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานเป็นอีกปัญหาสำคัญ หากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ของไทยพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนมากเกินไป หรือส่งออกสินค้าขั้นกลางไปยังจีนเพื่อประกอบขั้นสุดท้ายและส่งต่อไปยังสหรัฐฯ ก็อาจได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
ขณะที่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้การตัดสินใจลงทุนระยะยาวมีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่ประเทศไทยก็อาจได้รับประโยชน์จากปรากฏการณ์การเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) ที่เกิดขึ้นเมื่อสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจีน ทำให้ผู้ซื้อในสหรัฐฯ มองหาแหล่งนำเข้าทางเลือกและยังอาจมีโอกาสในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
บริษัทข้ามชาติจำนวนมากกำลังมองหาฐานการผลิตทางเลือกนอกประเทศจีนตามกลยุทธ์ "จีน + 1" เพราะเรามีฐานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว แรงงานมีทักษะเมื่อเทียบกับบางประเทศในภูมิภาค และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เราจะต้องเจรจาให้ไม่สูงกว่าประเทศอื่นๆ มากนัก
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ของไทยคงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ด้วยการประเมินความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานอย่างละเอียด กระจายความเสี่ยงโดยสำรวจแหล่งวัตถุดิบและตลาดทางเลือก ลงทุนในการเพิ่มประสิทธิภาพและระบบอัตโนมัติเพื่อลดต้นทุน ติดตามนโยบายการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด และศึกษาเพื่อใช้ประโยชน์จากการยกเว้นภาษีและโอกาสทางการค้าที่เกิดขึ้น
ท้ายที่สุด การกระชับความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค และการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยด้วยทรัพยากรและข้อมูลที่จำเป็น จะช่วยให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ของไทยสามารถฝ่าฟันความท้าทายและสร้างโอกาสที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าระดับโลกได้ดีขึ้น