'ดีป้า' แนะไทยเร่งหาตลาดใหม่ เตรียมการรับมือมาตรการภาษีทรัมป์

'ดีป้า' แนะไทยเร่งหาตลาดใหม่ เตรียมการรับมือมาตรการภาษีทรัมป์

ผู้อำนวยการดีป้า มองมาตรการสหรัฐ ปรับขึ้นภาษีนำเข้า กระทบการค้าไทย ชี้ภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งปรับกลยุทธ์รับมือเกมเศรษฐกิจโลก

ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เปิดเผยถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรล่าสุดของสหรัฐ ที่นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศ และเพิ่มอัตราภาษีสำหรับประเทศที่เกินดุลการค้า โดยไทยถูกจัดเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 36% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา

เขามองว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการ “โยนหินถามทาง” เพื่อสังเกตท่าทีของคู่ค้าสหรัฐ และยอมรับว่าอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม แม้ยังไม่เกิดผลกระทบทันที อย่างไรก็ตาม มีการประกาศผ่อนปรนอัตราภาษีนำเข้าลงเหลือ 10% สำหรับคู่ค้าส่วนใหญ่เป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดพื้นที่สำหรับการเจรจาทางการค้า ยกเว้นจีนที่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเป็น 125%

ไทยต้องเร่งปรับตัว สร้างตลาดใหม่-ช่องทางใหม่

ณัฐพล ระบุว่า ไทยจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเร่งสร้างตลาดส่งออกใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐ พร้อมทั้งยกระดับประเทศสู่การเป็นฐานการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่ม และสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กให้สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้มากขึ้น โดยเฉพาะผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์ม PromptTrade และระบบการค้าดิจิทัล (Trade Digitization)

การกระจายโอกาสสู่ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะในภาคเกษตร และการแปรรูปสินค้า จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจฐานราก และเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

แรงกดดันจากภาษีดิจิทัล-ส่งออกหดตัว และสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์

ในอีกมิติหนึ่ง ไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากภาษีดิจิทัลที่ยังจัดเก็บได้ไม่ทั่วถึง โดยปัจจุบันเก็บ VAT ได้เพียงราว 3,000 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่คาดว่ามูลค่าที่ควรเก็บได้จากบริการดิจิทัลข้ามชาติอาจสูงถึง 70,000 ล้านบาทต่อปี สะท้อนการสูญเสียรายได้ภาครัฐในระดับโครงสร้างที่ยังต้องเร่งแก้ไข

ด้านการส่งออก สินค้าหลักของไทยอย่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ และเซมิคอนดักเตอร์ กำลังเผชิญความไม่แน่นอนจากการถูกเรียกเก็บภาษีสูงขึ้น โดยสินค้าทางการเกษตร เช่น ข้าว ที่ยังมีโอกาสในตลาดสหรัฐ ก็มีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย และในไตรมาสล่าสุด ข้าวเป็นเพียงสินค้าส่งออกอันดับ 9 ของไทย

หากแรงกดดันทางการค้าทำให้การส่งออกหดตัวอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ GDP ไทยลดลงถึง 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เพียงพอจะพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

นอกจากเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ไทยไม่อาจมองข้าม เมื่อแรงกดดันจากทั้งสหรัฐ และจีนกำลังกระชับพื้นที่ในภูมิภาค โดยจีนรุกหนักผ่านโครงการ One Belt One Road ที่เชื่อมโยงภูมิภาคผ่านลาว เวียดนาม และไทย ขณะที่สหรัฐ วางยุทธศาสตร์ใหม่ในอินโดแปซิฟิกโดยใช้เวียดนามเป็นฐานรองรับการลงทุนแทนจีน

บทบาทใหม่ของไทยในเศรษฐกิจโลก

เพื่อไม่ให้เสียเปรียบในเกมการแข่งขันระดับภูมิภาค ไทยต้องวางจุดยืนใหม่ให้ชัดเจน ว่าจะเป็นผู้นำในด้านใด เช่น เทคโนโลยีเกษตร การแปรรูปสินค้าพื้นฐาน หรือการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหากไม่เร่งตัดสินใจ อาจถูกประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกต่อ GDP สูงถึง 90% แซงหน้าไปอย่างถาวร

ดังนั้น นอกจากการเจรจานโยบายกับต่างประเทศ ไทยต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการค้าภายในประเทศ สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมโยงผู้ผลิตกับตลาดโลก และเปิดพื้นที่ให้เกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงโอกาสใหม่ได้จริง เช่น การใช้ระบบ National Single Window ที่ช่วยให้กระบวนการส่งออกรวดเร็วขึ้นและลดต้นทุน

จากวิกฤติสู่โอกาส: สร้างสินค้าใหม่เพื่อลุยตลาดใหม่

หนึ่งในแนวทางที่เป็นไปได้คือ การพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูป เช่น การแปรรูปข้าวเป็นแป้ง เพื่อนำไปใช้แทนแป้งสาลีในอุตสาหกรรมอาหารตะวันตก เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินค้าพื้นฐาน และขยายโอกาสในตลาดใหม่

แม้การผ่อนปรนภาษี 90 วันของสหรัฐ จะไม่ใช่ทางออกถาวร แต่ถือเป็นหน้าต่างโอกาสสำคัญที่ไทยต้องรีบใช้ให้เป็นประโยชน์ ทั้งการเร่งพัฒนาภายใน เสริมแกร่งรายย่อย และวางกลยุทธ์เศรษฐกิจใหม่เพื่อยืนหยัดในเวทีโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์