ย้อน 'แผ่นดินไหว' ครั้งประวัติศาสตร์ บทเรียนและเทคเตือนภัยควรมี

ย้อน 'แผ่นดินไหว' ครั้งประวัติศาสตร์  บทเรียนและเทคเตือนภัยควรมี

เหตุการณ์แผ่นดินไหวรอบล่าสุดที่ผ่านพ้นไป น่าจะเป็นครั้งหนักสุดที่คนจำนวนมากเคยเจอในไทย ไม่ทราบว่า จะต้องป้องกันตัวเองและระวังภัยจากอาฟเตอร์ช็อกอย่างไร

ย้อนกลับไปวันที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว หลายคนคงเป็นเหมือนผม ที่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ยังทำงานอยู่ปกติ และอาจทราบว่ามีแผ่นดินไหวเพราะมีเพื่อนโทรศัพท์มาแจ้ง หรือได้รับข้อความจากกลุ่มไลน์ หรือสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ และอาจไม่ได้รับข่าวสารอะไรจากหน่วยงานภาครัฐเลย บางคนอาจตั้งคำถามว่า ทำไมไม่มีส่งข้อความเตือนภัยล่วงหน้า หรือทำการสื่อสารใดๆ เมื่อเกิดเหตุแล้ว ทุกคนจะได้ทราบว่าต้องรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร และมีเทคโนโลยีใดที่สามารถนำมาใช้ได้

เหตุการณ์แผ่นดินไหวรอบนี้ น่าจะเป็นครั้งที่หนักสุดที่คนจำนวนมากเคยเจอในประเทศไทย และหลายคนก็ตื่นตระหนก ไม่ทราบว่าจะต้องป้องกันตัวเองและระวังภัยจากอาฟเตอร์ช็อกอย่างไร เพราะน่าจะเป็นครั้งแรกของคนส่วนใหญ่ ผมเคยไปเรียนอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นประเทศมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ผมอยู่ที่นั้นหลายปีก็มักมีการซ้อมเพื่อรับมือแผ่นดินไหวบ่อยๆ และก็ได้เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหวบ้างเล็กน้อย ประกอบกับเจอเหตุการณ์แผ่นดินไหวในบางครั้ง

แม้จะโชคดีที่ระหว่างอยู่นิวซีแลนด์ไม่ได้เจอแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากนัก แต่เห็นความพร้อมสื่อสารของประเทศเขา และก็ทราบดีว่าแผ่นดินไหวอาจเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ จึงไม่แปลกใจที่บ้านเราไม่สามารถส่งข้อความเตือนภัยเรื่องนี้ล่วงหน้าได้

เมื่อเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมเริ่มสนใจ ข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินไหวทั่วโลก ไปค้นดูว่าเราสามารถหาข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวที่ต่างๆ ได้จากแหล่งใด พบว่ามีแหล่งข้อมูลมากมายที่แจ้งการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในที่ต่างๆ ทั่วโลกได้ บางแหล่งเป็นข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลกแบบเรียลไทม์เช่น เว็บ earthquake.usgs.gov ของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา ( USGS ) หรือแม้แต่แอปบนมือถือก็มีมากมายถ้าเราไปค้นหาด้วยคำว่า Earthquake

จากข้อมูลเรียลไทม์ที่ส่งเข้ามาจากแอปจะพบว่า มีการเกิดแผ่นดินไหวอยู่ตลอดเวลาทั่วโลก แต่ส่วนมากจะไม่มีความรุนแรงมากนัก และโดยมากต่ำกว่า3 ริกเตอร์ แต่ก็มีบ้างที่สูงกว่า 5 ริกเตอร์ และแอปหรือเว็บไซต์ก็แจ้งเหตุทันทีหลังจากเกิดแผ่นดินไหว

ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ผมก็เปิดดูแอป Earthquake และก็เห็นการแจ้งการเกิดแผ่นดินไหวในหลายๆ ที่ บางแห่งเพิ่งเกิดขึ้น 4 นาทีที่ผ่านมา และจำนวนมากหลายสิบครั้งที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

หลังเกิดแผ่นดินไหวบ้านเรา ผมเห็นทีมงานมหาวิทยาลัยขอนแก่นเปิดตัว ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว โดยดึงข้อมูลตรงจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ไปเตือนที่ KKU Google Chat ตั้งระยะห่างในรัศมี 2,000 กิโลเมตร จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และตั้งขนาดความรุนแรงแผ่นดินไหวที่จะเตือนได้ โดยตั้งค่าให้ตรวจสอบแผ่นดินไหวไว้ที่ทุกๆ 1 นาที ก็เป็นกระแสออกข่าวกันไปทั่ว

ผมได้คุยกับ ผศ.ดร.เด่นพงษ์ สุดภักดี รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษาและดิจิทัลผู้พัฒนาแอปนี้ บอกว่า การดึงข้อมูลเหล่านี้ทำได้โดยไม่ได้ซับซ้อนอะไรใช้เวลาต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงในการพัฒนาแอป ผมก็ค่อนข้างจะแปลกใจทำไมเรื่องเช่นนี้กลายเป็นกระแสข่าวใหญ่โตในบ้านเรา ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความยากอะไรในการพัฒนา และหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงก็น่าจะสามารถทำได้โดยง่าย

การแจ้งเตือนภัยพิบัติต่างๆ บางทีไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง เช่น การรับทราบเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้ว การใช้เทคโนโลยีในการกระจายข่าวสาร การมีหน่วยงานที่น่าเชื่อถือในการส่งข่าวสาร และข้อความในการสื่อสารที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจ ซึ่งที่ผ่านๆ มาบ้านเราอาจยังสอบไม่ผ่านในเรื่องนี้

เราเองก็ยังถกเถียงกันว่าจะใช้เทคโนโลยีอะไรในการส่งข่าวแจ้งเตือนภัย ทั้งๆ ที่มีเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง แน่นอนเทคโนโลยีช่องทางในการแจ้งเตือนภัยผ่านมือถือน่าจะเป็น Cell broadcastมากกว่า SMS เนื่องจากมีความเร็วในการส่งสัญญาณสูง ไม่เกิดการขัดข้องแม้เครือข่ายมีความแออัด และไม่จำเป็นต้องมีการลงทะเบียนหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องไม่ละเลยการสื่อสารวิธีอื่นๆทั้ง การประกาศทางวิทยุ โทรทัศน์ หรือแม้แต่ช่องทางโซเชียลมีเดีย แต่ก็ต้องเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือในการส่งข้อความในการสื่อสาร ส่วนเรื่องระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว ผมเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ จึงให้ ChatGPT Deep Research และ Gemini Deep Research ช่วยค้นข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงลึก และได้ข้อสรุปมา ดังนี้

หนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญคือ “ระบบเตือนภัยล่วงหน้าแผ่นดินไหว” ซึ่งแม้จะไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าแผ่นดินไหวจะเกิดเมื่อใด แต่สามารถแจ้งเตือนได้ไม่กี่วินาทีก่อนที่แรงสั่นสะเทือนรุนแรงจะมาถึง

เทคโนโลยีด้านการวัดและวิเคราะห์แผ่นดินไหวก็ก้าวหน้าขึ้นมาก มีการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก ทั้งแบบติดตั้งถาวรและแบบที่ประชาชนมีส่วนร่วม เช่น โครงการ Raspberry Shake ที่ให้ติดตั้งเซ็นเซอร์ที่บ้านแล้วส่งข้อมูลเข้าระบบกลาง นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีเอไอช่วยวิเคราะห์สัญญาณแผ่นดินไหว โดยเฉพาะแผ่นดินไหวขนาดเล็กที่อาจเป็นสัญญาณเตือนเหตุใหญ่ที่จะตามมา

ญี่ปุ่นเป็นประเทศต้นแบบด้านนี้ พัฒนาระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ ทีวี วิทยุ ล้วนรับสัญญาณเตือนอัตโนมัติได้ ชาวญี่ปุ่นคุ้นชินเสียงเตือนภัยและรู้ว่าควรทำอย่างไรเมื่อได้ยิน เช่น หมอบ คลุมศีรษะ และยึดสิ่งมั่นคง ระบบรถไฟความเร็วสูงก็สามารถหยุดรถทันเวลาก่อนแรงสั่นสะเทือนจะถึงตัวรถ

เม็กซิโกก็มีระบบเตือนภัยที่น่าสนใจ โดยติดตั้งเซ็นเซอร์ตามแนวชายฝั่งเพื่อตรวจจับแผ่นดินไหวใหญ่ แล้วส่งสัญญาณผ่านวิทยุให้ไซเรนในเมืองหลวงดังขึ้นทันที แม้บางครั้งจะแจ้งเตือน “เกินเหตุ” คือแจ้งเตือนแม้แรงสั่นไม่รุนแรง แต่ประชาชนยอมรับได้ เพราะดีกว่าไม่มีการเตือนภัย

ในสหรัฐอเมริกา ระบบที่เรียกว่า ShakeAlert ก็เริ่มใช้งานอย่างจริงจังในไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในรัฐทางฝั่งตะวันตก เช่น แคลิฟอร์เนีย ที่มีความเสี่ยงแผ่นดินไหวสูง การแจ้งเตือนส่วนใหญ่จะส่งผ่านแอปมือถือหรือข้อความฉุกเฉิน ซึ่งประชาชนจะได้รับคำเตือนให้รีบหาที่กำบังเมื่อตรวจพบว่าจะมีแรงสั่นที่รู้สึกได้ ระบบนี้เริ่มเชื่อมต่อกับโรงเรียน ลิฟต์ในตึกสูง และสถานีวิทยุบางแห่งด้วย เพื่อให้การเตือนภัยครอบคลุมทุกกลุ่มคน

สื่อสังคมออนไลน์ก็มีบทบาทมากขึ้นในการแจ้งข่าวและขอความช่วยเหลือ คนจำนวนมากใช้แพลตฟอร์มอย่าง Twitter, Facebook และ WhatsApp ในการรายงานความเสียหายหรือแจ้งสถานะความปลอดภัยของตนเอง นักวิทยาศาสตร์ยังนำข้อมูลจากโพสต์ของประชาชนมาใช้ในการตรวจจับแผ่นดินไหวได้เร็วกว่าระบบทางการในบางครั้ง เช่น ระบบของ USGS ที่ใช้คำว่า “earthquake” บน Twitter มาช่วยระบุเหตุการณ์ได้ภายในไม่กี่นาที

แม้เทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการฝึกซ้อมและสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เพราะอุปกรณ์ทันสมัยจะไม่มีประโยชน์หากคนไม่รู้วิธีใช้งานหรือไม่ตื่นตัวเมื่อมีการเตือนภัย ดังนั้นความร่วมมือกันระหว่างเทคโนโลยี คน และกระบวนการ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราสามารถอยู่กับภัยธรรมชาติหรือเหตุการณ์ร้ายแรงได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในวันข้างหน้า