‘รอยเท้าดิจิทัล’ จากทำธุรกรรมออนไลน์ 'ความจำเป็น และ 'ความเสี่ยง'

‘รอยเท้าดิจิทัล’ จากทำธุรกรรมออนไลน์ 'ความจำเป็น และ 'ความเสี่ยง'

การใช้ข้อมูลรอยเท้าดิจิทัลของเราในการตลาด อาจเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ก็เปิดโอกาสให้ข้อมูลส่วนตัวถูกใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย หรือละเมิดความเป็นส่วนตัว

ในยุคดิจิทัลที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต การทำธุรกรรมออนไลน์ตั้งแต่สั่งซื้อสินค้า สั่งอาหาร การเรียกบริการรถ และการใช้บัตรทางด่วน กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น ตลอดจนการชำระเงินผ่าน QR Code หรือพร้อมเพย์โดยใช้โมบายล์แบงกิ้งหรือดิจิทัลวอลเล็ต รวมถึงการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิต ก็กลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนอยากจะใช้เงินสดน้อยลง

ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้เงินสดต่อเดือนน้อยมาก แต่ละเดือนใช้เงินสดชำระเงินไม่เกิน 5 ครั้ง ถ้าเป็นไปได้ ผมจะเลือกโอนเงินหรือใช้บัตรเครดิต ยกเว้นกรณีที่จำเป็นจริงๆ จึงจะใช้เงินสด แม้แต่เมื่อไปซื้อของที่ตลาดสดแถวบ้าน บางรายการที่มีราคาแค่ 10-20 บาท ผมก็ยังเลือกที่จะโอนเงิน สาเหตุหลัก คือ ความสะดวกสบายที่ไม่ต้องพกพาเงินสด และปัจจุบันแทบทุกที่ก็ยินดีรับการโอนเงิน ทั้งยังมีบางร้านที่ปฏิเสธไม่รับเงินสด

การไม่พกเงินสดทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น จากความเสี่ยงทำให้เงินสดสูญหายหรือถูกลักทรัพย์ ซึ่งเรายังสามารถตรวจสอบประวัติธุรกรรม รวมถึงรายรับและรายจ่ายได้เต็มรูปแบบ เนื่องจากโมบายล์แบงกิ้งหรือดิจิทัลวอลเล็ตต่างๆ จะทำให้เราสามารถดูประวัติธุรกรรมย้อนหลังได้หลายเดือน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ธนาคารหรือผู้ให้บริการทำการเก็บข้อมูล

นอกจากนี้ หากเราติดตั้งแอปดีๆ ก็สามารถได้รับการแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรมการเงินผ่านบัญชีของเราหรือแม้แต่บัตรเครดิต ผมเคยมีประสบการณ์ในการใช้บริการรถสาธารณะผ่านแอป แล้วพบว่าพนักงานขับรถได้หักค่าทางด่วนผ่านบัตรเครดิตเกินจริง แต่ด้วยการผูกบัตรเครดิตกับแอปทำให้สามารถรับแจ้งเตือนได้ทันที และสามารถขอเงินคืนจากบริษัทได้ โดยพนักงานขับรถอาจไม่ได้รู้ว่า เราสามารถตรวจสอบรอยเท้าดิจิทัลของตนเองได้ทันที โดยไม่ต้องรอรายการชำระเงินย้อนหลังเมื่อสิ้นเดือน

แต่การทำธุรกรรมออนไลน์ก็มีข้อเสียที่เราจะมี รอยเท้าดิจิทัล (Digital Footprint) เก็บไว้ในโลกออนไลน์ทั้งหมด มีการบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมอย่างละเอียด ตั้งแต่เวลา สถานที่ จนถึงประเภทของสินค้าหรือบริการที่ใช้ ตัวอย่างเช่น ผมใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์เป็นประจำ เมื่อมาตรวจสอบทางแอปดูประวัติย้อนหลังก็จะเห็นทันทีว่า เราสั่งอาหารอะไร จากที่ไหน และเมื่อไร หรือแม้แต่การใช้โมบายแบงกิ้งก็จะเห็นแม้แต่ชื่อร้านหรือผู้รับที่เราโอนไป

ระบบบัตรทางด่วนออนไลน์ก็ทำให้เราเห็นได้เช่นกันว่า ขับรถผ่านด่านไหนและเวลาใด แม้แต่การใช้บัตรรถไฟฟ้าก็สามารถตรวจสอบได้ หรือแม้แต่บริการทีวีสตรีมมิงที่นิยมดูทุกวัน ก็สามารถดูได้ว่าเราเคยดูเรื่องอะไร เวลาไหน จริงๆ แล้ว ผู้ให้บริการบางรายยังเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ดูมาจากอุปกรณ์อะไร ข้ามไปดูข้างหน้า หรือมีการย้อนกลับมาดูหรือไม่

การมีข้อมูลเหล่านี้สำหรับตัวเราเองอาจเป็นข้อดีในการตรวจสอบธุรกรรมต่างๆ ย้อนหลังได้ ถ้าเป็นธุรกรรมการเงิน บางคนสามารถทำบัญชีการใช้จ่ายประจำวัน และวางแผนการใช้เงินได้

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความยากในการรักษาความเป็นส่วนตัวเป็นข้อเสียที่ต้องคำนึงถึง เช่น ข้อมูลส่วนตัวและการใช้จ่ายที่สามารถถูกเก็บรวบรวมและนำไปใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรม หรือประสิทธิภาพการขาย การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือการถูกโจรกรรมข้อมูล

ไม่แปลกใจที่บางครั้งเราซื้อสินค้าออนไลน์ แล้วไม่นานหลังจากนั้น เราเริ่มเห็นโฆษณาสินค้าที่คล้ายคลึงกับที่เคยซื้อปรากฏบนเฟสบุ๊กและอื่นๆ นี่เป็นการใช้ข้อมูลรอยเท้าดิจิทัลของเราในการตลาด ซึ่งอาจดูเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ก็เปิดโอกาสให้ข้อมูลส่วนตัวถูกใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือละเมิดความเป็นส่วนตัว

แม้กระทั่งบางครั้งผู้รับชำระเงินออนไลน์จะขอถ่ายรูปผลการชำระเงินเก็บไว้ ซึ่งข้อมูลส่วนตัวอาจประกอบด้วยชื่อของเราที่ใช้เป็นชื่อบัญชี ทั้งนี้แทบไม่มีความจำเป็นที่ผู้ขายจะต้องได้ชื่อเรา

ผมเองพยายามคิดว่า มีวิธีการใดในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว หนึ่งในนั้นคือการใช้บัตรเติมเงินในการชำระเงิน ซึ่งจะลดการ บันทึกรอยเท้าดิจิทัลในบางธุรกรรม แต่ในปัจจุบัน การใช้บัตรเติมเงินส่วนใหญ่ต้องมีการยืนยันตัวตนในขั้นต้น และร้านค้าที่รับการชำระเงินจากบัตรเติมเงินมีน้อยกว่าการรับโอนเงิน ดังนั้น การลดรอยเท้าดิจิทัลจึงยากหากเราเลือกที่จะทำธุรกรรมออนไลน์

แต่การลดความเสี่ยงจากคนอื่นที่อาจทำธุรกรรมแทนเรา สามารถทำได้โดยการเปิดใช้งานการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน นอกจากนี้ควรติดตั้งระบบให้มีการแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรมออนไลน์ เราจะได้รับทราบทันที

รอยเท้าดิจิทัลทั้งหมดที่เกิดจากการทำธุรกรรมออนไลน์เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม การตระหนักถึงความจำเป็นและความเสี่ยงจะช่วยให้เราสามารถทำให้การทำธุรกรรมออนไลน์ของเรา เป็นเรื่องที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น