เดลล์ ​ชี้ ‘ธุรกิจไทย’ หวั่นตกขอบโลก เร่งบ่มเพาะ ‘นวัตกรรม’ สร้างโอกาสใหม่

เดลล์ ​ชี้ ‘ธุรกิจไทย’ หวั่นตกขอบโลก เร่งบ่มเพาะ ‘นวัตกรรม’ สร้างโอกาสใหม่

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เผยผลสำรวจบ่งชี้ 31% ขององค์กรธุรกิจในไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น17% และทั่วโลก 18%) กำลังบ่มเพาะนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ 49% ขององค์กรในไทยเชื่อว่า เทคโนโลยีตัวเองยังไม่ใช่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และหวั่นเกรงว่าจะถูกทิ้งให้ตามหลังคู่แข่ง

Key Points : 

  • ธุรกิจหวั่นองค์กรธุรกิจของพวกเขาอาจตกกระแสภายในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อดูจากความแข็งแกร่งของวัฒนธรรมการสร้างนวัตกรรมและแผนงานนวัตกรรม
  • 64% เชื่อว่าการที่มีคนลาออกจากบริษัทก็เพราะไม่สามารถสร้างนวัตกรรมให้เกิดขึ้นได้มากเท่าที่คาดหวัง
  • ธุรกิจเกือบครึ่ง เชื่อว่าเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่ใช่เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด (Cutting-edge) ดังนั้น จึงหวั่นเกรงการถูกคู่แข่งทิ้งห่างอยู่ข้างหลัง

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เผยผลสำรวจบ่งชี้ 31% ขององค์กรธุรกิจในไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น17% และทั่วโลก 18%) กำลังบ่มเพาะนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลการสำรวจ ดัชนีชี้วัดนวัตกรรม (Innovation Index) ของเดลล์ ล่าสุด พบว่า 66% ขององค์กรธุรกิจในประเทศไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 60% และทั่วโลก 57%) เกรงว่า องค์กรของตัวเองอาจตกกระแสได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของวัฒนธรรม การสร้างนวัตกรรม และแผนงานนวัตกรรมในกระบวนการทำงาน

“ฐิตพล บุญประสิทธิ์” กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า เทคโนโลยียังคงเป็นแกนหลักที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของแต่ละองค์กร ในการที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทรานส์ฟอร์มและเติบโต การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของตลาดได้สร้างโอกาสอย่างมหาศาลให้กับธุรกิจต่างๆ

เดลล์ ​ชี้ ‘ธุรกิจไทย’ หวั่นตกขอบโลก เร่งบ่มเพาะ ‘นวัตกรรม’ สร้างโอกาสใหม่

ขณะที่ผลศึกษาของดัชนีชี้วัดด้านนวัตกรรม หรือ Innovation Index พบว่า องค์กรธุรกิจของไทยจัดอยู่ในระดับแนวหน้าในกลุ่มของผู้นำนวัตกรรม (Innovation Leader) เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ภายในภูมิภาค องค์กรส่วนใหญ่ยังคงต้องตัดสินใจว่าในจุดไหนที่ต้องการไปให้ถึงในอนาคตอันใกล้นี้

‘นวัตกรรม’คือสิ่งขาดไม่ได้

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ มีองค์กรต่างๆ เพียง 31% ในประเทศไทย เท่านั้นที่สามารถกำหนดให้เป็นผู้นำทางนวัตกรรม (Innovation Leaders) และผู้ที่นำนวัตกรรมเข้ามาใช้งาน (Innovation Adopters)

องค์กรในกลุ่มนี้มีกลยุทธ์ด้านนวัตกรรมแบบครบวงจร (End-to-End) และวางตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการฟันฝ่าอุปสรรคและปัญหาที่มาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ปัญหาซัพพลายเชน ไปจนถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ อีกมากมาย ขณะที่ยังคงเติบโตต่อไป

เดลล์ ​ชี้ ‘ธุรกิจไทย’ หวั่นตกขอบโลก เร่งบ่มเพาะ ‘นวัตกรรม’ สร้างโอกาสใหม่

ในความเป็นจริง 52% ของผู้นำทางนวัตกรรม และผู้นำนวัตกรรมเข้ามาใช้งานของประเทศไทย มั่นใจว่า ตัวเองสามารถเร่งสร้างนวัตกรรมได้ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ซึ่ง “ความยืดหยุ่นของนวัตกรรม” หรือที่เรียกว่า “innovation resilience” นี้ เช่น ความมุ่งมั่นและความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ส่งผลดีให้กับผู้นำทางนวัตกรรม

ขณะที่ 65% ของผู้นำทางนวัตกรรม และผู้นำนวัตกรรมเข้ามาใช้งานของไทย ได้ตอบรับการใช้งานระบบอัตโนมัติอย่างเต็มที่เพื่อสู้กับกระบวนการไอทีทั้งแบบแมนนวลและทั้งใช้เวลายาวนาน เพื่อเร่งการพัฒนานวัตกรรมให้เร็วยิ่งขึ้น

ธุรกิจที่ล้าหลังขาดกลยุทธ์นวัตกรรม

ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจในส่วนที่เป็นผู้ล้าหลังด้านนวัตกรรม และผู้ตามทางนวัตกรรม ยังขาดการกำหนดกลยุทธ์ด้านนวัตกรรมหรือกำลังพยายามดิ้นรน เพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไร

อย่างไรก็ตาม เดลล์ อธิบายว่า ดัชนีชี้วัดทางนวัตกรรม คือ การจับภาพหรือการสรุปภาพรวมของสถานการณ์ได้ทันเวลา องค์กรธุรกิจสามารถพัฒนาปรับปรุงได้ด้วยการพิจารณาถึงบุคลากร กระบวนการทำงาน และการใช้เทคโนโลยีในแบบองค์รวม และสร้างกลยุทธ์นวัตกรรมที่แข็งแกร่งแต่คล่องตัว

ดัชนีของเดลล์ ครั้งนี้ ชี้ด้วยว่า องค์กรธุรกิจต่างต้องการความช่วยเหลือในการพัฒนาวัฒนธรรมนวัตกรรม ที่ให้ความสำคัญกับแนวความคิดทุกรูปแบบเพื่อที่จะสามารถสร้างความต่าง อีกทั้งสามารถเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด โดยผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า 64% ของผู้ตอบแบบสอบถามคนไทย เชื่อว่าการที่มีคนลาออกจากบริษัทเกิดจากการที่ไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้มากเท่าที่คาดว่าจะทำได้

ขณะที่ 61% ในประเทศไทย ระบุว่า วัฒนธรรมของบริษัทในด้านต่างๆ คือสิ่งที่สกัดกั้นทำให้ไม่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้มากเท่าที่ต้องการหรือสามารถทำได้

วัฒนธรรมในบริษัทได้ถูกกำหนดและสร้างขึ้นเป็นแบบอย่างโดยผู้นำ แต่ 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทย ระบุว่าผู้นำของตัวเองมีแนวโน้มที่จะชอบความคิดของตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ ยังมีการระบุถึงอุปสรรคส่วนบุคคลในอันดับต้นๆ ที่มีต่อการสร้างนวัตกรรมที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด คือความกลัวที่จะความล้มเหลว ไปจนถึงการขาดความมั่นใจในการแบ่งปันความคิดกับผู้นำของตัวเอง

ผลศึกษาชี้ให้เห็นถึงพลังเทคโนโลยีในการก่อให้เกิดนวัตกรรม และผลที่ตามมาของการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

โดยส่วนใหญ่ หรือ 99% ขององค์กรที่ตอบแบบสอบถามในประเทศไทย ต่างกำลังแสวงหาเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมายด้านนวัตกรรม และในทางกลับกัน 49% ขององค์กรในประเทศไทย เชื่อว่า เทคโนโลยีของตัวเองยังไม่ใช่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและหวั่นเกรงว่าจะถูกทิ้งให้ตามหลังคู่แข่ง

เปิด 5 เทคฯหลักกระตุ้นนวัตกรรม

การศึกษามุ่งที่จะสำรวจในรายละเอียดเพื่อดูว่า องค์กรธุรกิจสามารถได้รับผลประโยชน์ และเผชิญกับอุปสรรคใดบ้างจาก 5 เทคโนโลยีหลักที่ถือเป็นตัวกระตุ้น สำหรับนวัตกรรม อันได้แก่ เทคโนโลยีมัลติ-คลาวด์ เอดจ์ โครงสร้างพื้นฐานโมเดิร์น ดาต้า การทำงานจากทุกที่ที่ต้องการ (Anywhere-work) และการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ และในเกือบทุกภาคส่วน

ขณะที่ สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ยิ่งที่สุดในการปลดล็อคศักยภาพทางนวัตกรรมนั่นคือความซับซ้อน (Complexity) หากให้ยกตัวอย่าง จะเห็นได้ว่ามีองค์กรธุรกิจในจำนวนที่มากจนเกินไปที่เข้ามาสู่สภาพแวดล้อมแบบมัลติ-คลาวด์โดยบังเอิญ ทำให้เกิดการควบรวมกันของแพลตฟอร์มต่างๆ ด้านคลาวด์ ตลอดจนแอปพลิเคชัน ทูลส์ และอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งความซับซ้อนเหล่านี้ก่อให้เกิดต้นทุนทั้งในด้านเวลา เงินลงทุน ไปจนถึงโอกาสอันมีค่าในการสร้างนวัตกรรม

สิ่งที่เป็นหลักฐานที่เด่นชัดอุปสรรคทางเทคโนโลยีของประเทศไทยที่ส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด คือ

1. การต่อสู้กับความซับซ้อนของระบบเอดจ์ที่ปลายทาง

2. การทุ่มเทความพยายามไปกับการเปลี่ยนดาต้า ให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกเรียลไทม์

3. การขาดกลยุทธ์ด้านการรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรในแบบองค์รวม

4. ต้นทุนทางด้านคลาวด์ที่เพิ่มสูงขึ้น และ 5.การที่ผู้คนไม่สามารถทำงานอย่างปลอดภัยได้จากทุกที่ที่ต้องการ