"ไตรรัตน์" แตกหักบอร์ดยื่นฟ้อง 5 กสทช. ฟันม. 157 พิษบอลโลก 600 ล้าน

"ไตรรัตน์" แตกหักบอร์ดยื่นฟ้อง 5 กสทช. ฟันม. 157 พิษบอลโลก 600 ล้าน

รองเลขาธิการ กสทช. ยื่นฟ้องม.157 กรณีสอบสวนข้อเท็จจริง หลังโดนกล่าวหามีเอี่ยวเอื้อเอกชนปมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2022 ระบุบอร์ดกสทช.ทำให้เสียชื่อเสียงรวมถึงหมดโอกาสในการเจริญเติบโตในหน้าที่การงานจากการกระทำของจำเลยทั้งหมด

วานนี้ 11 ก.ย. 2566 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพลอากาศโท ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ 1 ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง รามสูต ที่ 2 รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย ที่ 3 รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ที่ 4 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ ที่ 5 เป็นจำเลย ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 155/2566 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 86 , 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172

\"ไตรรัตน์\" แตกหักบอร์ดยื่นฟ้อง 5 กสทช. ฟันม. 157 พิษบอลโลก 600 ล้าน


 

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นรองเลขาธิการ กสทช. สายงานยุทธศาสตร์และกิจกาองค์กรและเป็นพนักงานผู้ปฏิบัติงานของสำนักงาน กสทช. ตามระเบียบคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และเป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.

เหตุคดีนี้เกิดจาก เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ลับ) ที่ 7/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022  โดยอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งเป็นบุคคลที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้เสนอให้เข้ามาทำหน้าที่ในคณะอนุกรรมการเองทั้งสิ้นอันอาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้องและมติที่ประชุม กสทช.

รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือกองทุนกทปส. ตลอดจนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ที่ได้ทำไว้กับสำนักงาน กสทช. ต่อมาเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2566 คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง จัดทำรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง (ลับ) โดยคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวได้ประชุมพิจารณามีความเห็นในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 6/2566

ด้วยคะแนนเสียงส่วนมาก 4 เสียง มีความเห็นว่า กรณีการดำเนินการสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมติที่ประชุม กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นการขอรับการสนับสนุนากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ กองทุน กทปส.ตลอดจนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่ได้ทำกับสำนักงาน กสทช. ส่วนอนุกรรมการอีก 2 เสียงไม่ลงความเห็น ความเห็นของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นแต่เพียงความเห็นลอย ๆ ว่าอาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง 

และในวันประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 ระเบียบวาระที่ 5.22 : รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะนุกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 นั้น ที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้ 1.รับทราบรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุน ค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 จำนวน 600 ล้านบาท

2.ที่ประชุมมีการพิจารณาข้อเสนอตามรายงานฯ ข้อ 1 ที่เสนอว่า "การดำเนินการของการกระทำของนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล (โจทก์) รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทน เลขาธิการกสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022  อาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้องและมติที่ประชุม กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุน กทปส. ตลอดจนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ที่ได้ทำไว้กับสำนักงาน กสทช.

โดยจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ได้ลงมติเสียงข้างมากให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ และลงมติให้มีการเปลี่ยนตัวรอง เลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. (หมายถึงโจทก์) จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้นการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่พิจารณาลงมติระเบียบวาระที่ 5.22

โดยเป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติว่าด้วยข้อบังคับการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. 2555 ข้อ 21 และข้อ 29 จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะ กสทช. จึงไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการลงมติให้ประธานกรรมการหรือสำนักงาน กสทช. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ได้สมคบกันเพื่อใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะบอร์ดกสทช. โดยวางแผนการและแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้ที่ประชุม กสทช.

และในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2556 วาระที่ 5.22 มีมติปลดโจทก์ออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์ ให้จำเลยที่ 5 โดยเสนอให้ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งจำเลยที่ 5 เป็นผู้รักษาการ เลขาธิการ กสทช. แทนโจทก์ซึ่งจะเห็นได้จากพฤติการณ์ของจำเลยแต่ละคนที่ได้ร่วมกันวางแผนและดำเนินการ โดยแบ่งหน้าที่กันทำก่อนจะมีการประชุม ยังมี ข้อ 2 ที่ว่า "การกระทำของ กกท. และพนักงานที่เกี่ยวข้อง อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมติที่ประชุมของ กสทช.

รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุน ตลอดจนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่ได้ทำไว้กับสำนักงาน กสทช. จึงสมควรส่งเรื่องให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ กรณีดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่อไป..." แต่ด้วยเจตนาทุจริตที่มีต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ซึ่งรวมกันเป็นเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุม มิได้หยิบยกข้อเสนอพิจารณาข้อที่ 2 ข้างต้นมาพิจารณาแต่อย่างใด

แต่จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 กลับร่วมกันผลักดันโดยอาศัยคะแนนเสียง 4 เสียง ซึ่งเป็นเสียงข้างมาก ลงมติเพียงเฉพาะตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ทั้งที่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย ระเบียบ และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต แม้จะได้รับการทักท้วงและคัดค้านจากประธาน และกรรมการเสียงข้างน้อยก็ตาม ที่ประชุม กสทช. จะได้มีการพิจารณาทบทวนมติดังกล่าวและมีการลงมตีใหม่อีกครั้งให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2555 แล้วก็ตาม แต่ด้วยเจตนาทุจริตจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ก็ยืนยันเสนอและลงมติไม่เห็นชอบให้โจทก็ดำรงตำแหน่งรักษาการ เลขาธิการ กสทช.จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น

ทั้งนี้ เพื่อเปิดทางให้จำเลยที่ 5 มาดำรงตำแหน่งแทนโจทก์ โดยจำเลย ที่ 1 เป็นผู้เสนอให้ที่ประชุมมีมติให้แต่งตั้งจำเลยที่ 5 เป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. และจำเลยที่ 5 เป็นผู้สนับสนุน โดยอ้างความอาวุโสของจำเลยที่ 5 จากนั้นจำเลยที่ 1ถึงจำเลยที่ 4 ก็ลงมติเห็นชอบ ทั้งที่ตามระเบียบว่าด้วยการรักษาการแทน การปฏิบัติการแทน และการปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทน ในตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. และพนักงาน กสทช. พ.ศ. 2555 ในข้อ 6 กำหนดให้ประธานโดยการเห็นชอบของ กสทช. แต่งตั้งรองเลขาธิการคนหนึ่งตามเห็นสมควรเป็นผู้รักษาการแทน จึงเป็นอำนาจของประธานโดยแท้ในการที่จะเสนอผู้ใดตามที่เห็นสมควร จำเลยทั้งสี่ทราบดีว่าประธาน กสทช.
ได้เดินทางไปต่างประเทศ ไม่สามารถลงนามคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 5 เป็นรักษาการแทนเลขาธิการตามมติที่ประชุมได้

ประกอบกับจำเลยที่ 5 มีเวลาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งฯ ของโจทก์ที่ให้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. จนถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2566จำเลยทั้งสี่โดยทุจริตเพื่อให้จำเลยที่ 5 ได้เข้ารับตำแหน่งรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ได้เร่งรีบจัดทำบันทึกข้อความด่วนที่สุดถึงจำเลยที่ 5 ในฐานะรองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติรักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ให้ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ การที่จำเลยที่ 5 มีคำสั่งแต่งตั้งให้ศาสตราจารย์ ส. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาเป็นประธานกรรมการสอบสวน

ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องมีการติดต่อประสานกับบุคคลนั้นก่อนว่ายินดีจะรับเป็นประธานกรรมการสอบสวนหรือไม่ และต้องตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวมีคุณสมบัติตามประกาศฯ ข้อ 3 หรือไม่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่จำเลยที่ 5 ซึ่งเพิ่งได้รับหนังสือจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เพียงวัน กลับสามารถออกคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนลงวันที่ 16 มิถุนายน 2566 ได้ทันที แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5 รับรู้ล่วงหน้าและสมคบกับจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 มาก่อนจึงได้จัดเตรียมและติดต่อบุคคลที่ตนเองไว้ใจ

ให้ได้มารับหน้าที่เป็นประธานการสอบสวนไว้ก่อนแล้ว ทำให้สามารถออกคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนได้เสร็จสิ้นภายในวันเดียวการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญารู้ดีอยู่แล้วว่าคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลดังกล่าว

ไม่ใช่คณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสืบสวน ในกรณีที่มีการกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ามีผู้ใดกระทำผิดวินัย แต่จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3และจำเลยที่ 4 กลับลงมติโดยถือเอารายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มาเป็นรายงานการสืบสวนทางวินัย และนำมาใช้เป็นมูลเหตุในการแต่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกับโจทก์

การกระทำของจำเลยที่ 1ถึงจำเลยที่ 4 ถือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นไปตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยการบริหารบุคคล พ.ศ. 2565 ข้อ 57 และข้อ 58 การกระทำของจำเลยทั้งหมด ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการกสทช. (ตามคำสั่งประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ) ได้รับความเสียหาย ต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวน ถูกเสนอให้ต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ก่อให้เกิดความสับสน ความแตกแยกในหมู่พนักงานเกิดความกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง เพราะมีข่าวออกเผยแพร่ทันทีภายหลังการประชุม กสทช. เสร็จสิ้น รวมถึงหมดโอกาสในการเจริญเติบโตในหน้าที่การงานจากการกระทำของจำเลยทั้งห้า ทำให้โจทก์ได้รับผลกระทบต่อการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช.

จึงเป็นการจงใจปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย เป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือตำแหน่งหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172


ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคดีไว้เพื่อตรวจคำฟ้อง ให้นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ในวันที่ 3 ตุลาคม 2566 เวลา 9.30 น.