‘หัวเว่ย’ เร่งดัน ‘พลังงานดิจิทัล’ ปลุกธุรกิจ หนุนโลกสีเขียวอัจฉริยะ

‘หัวเว่ย’ เร่งดัน ‘พลังงานดิจิทัล’ ปลุกธุรกิจ หนุนโลกสีเขียวอัจฉริยะ

หัวเว่ย เร่งผลักดันเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัล พลิกโฉมอุตสาหกรรมพลังงานที่ยั่งยืนแห่งอนาคต ตามวิสัยทัศน์ “ผลักดันโลกสีเขียวอัจฉริยะ เร่งการเติบโตอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัลในประเทศไทย

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม ทั้งด้านการขับเคลื่อนนวัตกรรม ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ รับมือกับความท้าทายระดับโลก เช่น การพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากภาวะโลกร้อน

“ชวพล จริยาวิโรจน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำถึงผลกระทบเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีต่อพลังงานทางเลือก และศักยภาพขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และกล่าวถึงงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตโดยเฉลี่ยมากกว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ทั่วโลกถึง 3-5 เท่า บ่งชี้ว่า เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญ ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างยั่งยืนและชาญฉลาด

ปัจจุบัน “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญผ่าน 2 แนวทางหลัก คือ การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ในความเป็นจริง 133 ประเทศ 116 ภูมิภาคทั่วโลก ให้คำมั่นสัญญาคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Carbon) เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมพลังงาน อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไปสู่การทำให้เป็นคาร์บอนต่ำ และบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอน เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลง

อุตฯดิจิทัลปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อย

อุตสาหกรรมดิจิทัล รวมไปถึงเทคโนโลยีไอซีที มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่น้อยกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ มีสัดส่วนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหลือเพียง 1.97% จากอุตสาหกรรมทั้งหมดทั้งโลก และน่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมพลังงานได้มากถึง 12,000 ล้านตัน ภายในปี 2573

นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพลดปล่อยก๊าซคาร์บอนให้แก่อุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ถึง 15%-20% ยกตัวอย่างใช้เทคโนโลยีบิ๊กดาต้า และโดรนลดปริมาณใช้ยาฆ่าแมลงได้ถึง 20 เท่าในประเทศสวีเดน และเทคโนโลยีผลิตความร้อนอย่างชาญฉลาดในเมืองฮาร์บิน ประเทศจีน ลดปริมาณการใช้พลังงานลงได้ถึง 12.5%

ในส่วนของหัวเว่ยได้นำความฉลาดจากเทคโนโลยี 5จี คลาวด์ เอไอ เข้ามาผสานกับพลังงานดิจิทัล รองรับการผลิตพลังงานที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ หัวเว่ยมุ่งโฟกัสที่พลังงานจากแสงอาทิตย์ในไทย เนื่องด้วยไทยมีพื้นที่ที่มีแสงแดดเกือบทุกวันตลอดทั้งปี หากอาคารและบ้านเรือนต่างๆ ของประเทศไทยที่มีจำนวน 12 ล้านหลังคาเรือน เปลี่ยนมาใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์จากโซลาเซลล์เพียง 70% ก็จะทำให้สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้ารองรับได้ทั้งประเทศ

"ในไทย หัวเว่ยร่วมกับห้างสรรพสินค้า ซีคอน สแควร์ เพื่อติดตั้งหลังคาโซลาร์ขนาด 5 MWp ซึ่งเป็นหนึ่งในฟาร์มโซลาร์เซลล์ที่ใหญ่ที่สุดในห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ หลังคาโซลาร์ดังกล่าวได้ผลิตไฟฟ้าให้ซีคอนสแควร์ตั้งแต่ต้นปี 2564 ส่งผลให้ห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก"

ยกกรณีศึกษาในต่างประเทศ

เคสสำคัญในต่างประเทศ ที่หัวเว่ยเข้าไปมีบทบาทสำคัญ อย่างในประเทศมาเลเซีย พื้นที่ 60% ของรัฐซาราวักปกคลุมด้วยป่าฝนเขตร้อนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลกถึง 140 ล้านปี แต่การตัดไม้ทำลายป่าและการเพาะปลูกได้คุกคามป่าฝนรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งหากป่าฝนยังคงไม่มีการป้องกันอาจทำให้รัฐซาราวักหายไปภายในเวลาเพียง 100 ปี

วิธีแก้ไขที่เกิดขึ้น คือ การติดตั้งเซ็นเซอร์เสียง “Guardian” ในป่าฝนเพื่อติดตามกิจกรรมของมนุษย์ที่อาจจะตัดไม้ทำลายป่าฝนได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงติดตามการใช้เลื่อยยนต์และยานยนต์ พร้อมบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบพฤติกรรมของสัตว์

ข้อมูลเสียงที่ได้จากการติดตั้งเซ็นเซอร์ถูกอัปโหลดไปยังระบบคลาวด์ผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่มี เอไอ วิเคราะห์ ก่อนจะส่งไปยังเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าผ่านแอปพลิเคชันมือถือที่ชื่อว่า RFCx ซึ่งจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ทำให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าสามารถไปยังตำแหน่งที่เกิดภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน อุปกรณ์ดังกล่าวได้ครอบคลุมในโครงการที่มีพื้นที่อนุรักษ์ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตรในรัฐซาราวัก และสามารถช่วยให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าสามารถสกัดกั้นเหตุการณ์ลักลอบตัดไม้ได้หลายครั้ง

ชวพล กล่าวย้ำว่า หัวเว่ย พร้อมสนับสนุนและเร่งสร้างความเติบโตในการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทย ด้วยการส่งเสริมการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แบบ Smart PV ทั้งในระดับองค์กรและระดับครัวเรือน ผ่านพาร์ทเนอร์ โดยมีแผนสนับสนุนพาร์ทเนอร์ในไทยให้ได้อีกอย่างน้อย 500 องค์กร เพื่อผลิตบุคลากรให้ได้ 10,000 คน