เชื่อมั่นในตัวเอง

เชื่อมั่นในตัวเอง

ปัจจัยแห่งความสำเร็จประการหนึ่งที่เรารู้กันดีคือความ “เชื่อมั่น” ในตัวเอง

ผมได้เกริ่นไว้ครั้งที่แล้วถึงพลังแห่งความเชื่อมั่นในตัวเองที่อาจผลักดันให้เราทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจให้ไปได้ไกลกว่าคนอื่น แม้กระทั่งคนที่ขยันหมั่นเพียรและมีความพยายามมากกว่าเรา

เพราะลำพังเพียงความพยายามแต่หากขาดความรักความเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ก็อาจทำให้ท้อถอยและหมดกำลังใจลงได้ในวันใดวันหนึ่ง

ตรงกันข้ามกับคนที่มั่นใจในตัวเอง และรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองชอบคืออะไร เมื่อได้ลงมือทำจริง ก็ย่อมทำด้วยความสุขกายสุขใจ

ตัวอย่างหนึ่งที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันของเราก็เช่น ความพยายามในการลดน้ำหนัก เพราะแม้เราทุกคนจะรู้ว่าการมีน้ำหนักตัวที่มากเกินเกณฑ์มาตรฐานนั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากมาย ทั้งความดันโลหิตผิดปกติที่อาจก่อให้เกิดโรคหัวใจ เบาหวาน ฯลฯ

แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะใจตัวเองและลดน้ำหนักได้สำเร็จ เพราะส่วนใหญ่แล้วขาดพลังในการสร้างความเชื่อมั่นว่า “เราทำได้” แล้วลงมือทำอย่างจริงจังทั้งการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการพฤติกรรมโดยรวม

เช่นเดียวกับ “การเรียนภาษา” เพราะเราทุกคนก็รู้กันดีว่า ทักษะในการสื่อสารในโลกยุคปัจจุบันการรู้จักภาษาที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ ล้วนมีประโยชน์และเอื้อให้เราเติบโตในหน้าที่การงานได้เป็นอย่างดีทั้งนั้น แต่คนที่จะร่ำเรียนได้สำเร็จจริงๆ นั้นกลับมีไม่มากนัก

แม้ในปัจจุบันจะมีช่องทางให้ได้ร่ำเรียนมากมายและไม่ต้องมีอุปสรรคในการเดินทางเหมือนในอดีตเพราะสามารถเรียนออนไลน์ได้ทุกที่ รวมถึงคอร์สเรียนฟรีที่หาได้ในสื่อออนไลน์ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว

แต่หากลองได้ลงทะเบียนเรียนอย่างจริงๆ จังๆ ก็จะเห็นได้ว่าจำนวนผู้เรียนที่ดูคึกคักในช่วงแรก กลับมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆ เมื่อเรียนไปนานวันเข้า เมื่อผ่านไปถึง 2 เดือนก็อาจเหลือคนเรียนอยู่เพียง 2-3 คนเท่านั้น

เมื่อสอบถามว่าทำไมจึงไม่เรียนต่อก็มักจะได้คำตอบว่า “ไม่มีเวลา” แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีเหตุผลอื่นที่สำคัญกว่านั้นโดยเฉพาะการขาดความตั้งใจจริง ตรงกันข้ามกับคนที่ทำได้สำเร็จมักมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ จนเกิดความรักความชอบในการเรียนรู้ภาษาต่างๆ

และยิ่งได้พบว่าภาษาที่ได้เรียนมานั้นสามารถใช้ทำลายกำแพงภาษาในการติดต่อกับคนในประเทศอื่นๆ ได้ด้วยก็จะยิ่งมีกำลังใจในการเรียนภาษาใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพราะการเรียนภาษาที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องพูดคุยในสำเนียงที่เหมือนเจ้าของภาษาร้อยเปอร์เซ็นต์​แต่พูดให้พอเข้าใจกันได้ก็ดีมากพอแล้ว

แล้วการฝึกจิตใจให้มีความพร้อมรับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ เหล่านี้จะมีหลักในการเริ่มอย่างไร ผมคิดว่าตัวแปรสำคัญสุด คือ “การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองในทุกขณะ” เพราะบ่อยครั้งที่เราตัดสินใจบางเรื่องบางอย่างผิดพลาดไปเพราะ “พลังลบ” ที่เราเผลอรับจากผู้อื่น

เมื่อรับเอาพลังด้านลบมาเก็บไว้กับตัวเอง ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือมุมมองที่ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น จนนำไปสู่การตัดสินใจบางเรื่องบางอย่างที่ผิดพลาดเพราะเผลอใช้อารมณ์มากเกินไปจนใครพูดอะไรก็ไม่เข้าหู​ทั้ง ๆ ที่คำพูดเหล่านั้นอาจมีประโยชน์ให้เราได้ไม่มากก็น้อย

เพราะจิตใจเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เมื่อจิตใจดีก็ย่อมสร้างความมั่นใจในตัวเองได้มากขึ้น นำไปสู่การปรับตัวรับสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าคนอื่น โอกาสในการประสบความสำเร็จก็ย่อมมากกว่าคนอื่นตามไปด้วย