เราพร้อมแค่ไหน กับโลกที่ "ไม่มีอินเทอร์เน็ต"

เราพร้อมแค่ไหน กับโลกที่ "ไม่มีอินเทอร์เน็ต"

สำหรับคนที่เกิดมาในยุคอนาล็อก โตมากับทีวีขาวดำ ฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ และเกิดมากับยุคที่ไฟฟ้าดับเป็นประจำ คงพอเข้าใจได้ว่า โลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นอย่างไร

สัปดาห์นี้มีข่าวที่ผู้คนในโลกออนไลน์กล่าวถึงกันมาก เมื่อนายกรัฐมนตรีพูดถึงการใช้วิทยุทรานซิสเตอร์ เมื่อเกิดภัยวิบัติ ไฟฟ้าดับ คนที่เกิดมาในยุคดิจิทัลคงแปลกใจกับเรื่องแบบนี้ ทำไมต้องย้อนยุคมาใช้ระบบอนาล็อก โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองที่คุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่เกิด และไม่สามารถจินตนาการได้ว่าโลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือไม่มีไฟฟ้าใช้เป็นอย่างไร

แต่สำหรับคนที่เกิดมาในยุคอนาล็อก โตมากับทีวีขาวดำ ฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ และเกิดมากับยุคที่ไฟฟ้าดับเป็นประจำ คงพอเข้าใจได้ว่า โลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นอย่างไร

คนยุคอนาล็อกที่อพยพเข้าสู่ยุคดิจิทัลคงเข้าใจการใช้ชีวิตรอดเมื่อขาดเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี เพราะพวกเขาโตมากับการรับหนังสือพิมพ์ รอฟังข่าวสารต่างๆ ที่อาจล่าช้าไม่ทันใจเหมือนในยุคปัจจุบัน การสืบค้นข้อมูลต้องเข้าห้องสมุด ความบันเทิงต่างๆ ก็อยู่ในช่องทีวีปกติ การสื่อสารคือ การส่งจดหมายหรืออย่างดีก็โทรศัพท์หากัน ไม่มีอีเมล หรือโซเชียลอย่างในปัจจุบัน

ดังนั้นเมื่อไม่มีเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาอำนวยความสะดวกมากนัก คนยุคนั้นก็จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้ และถ้าขาดอินเทอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีบางอย่างไป พวกเขาก็อาจจะมองเพียงแค่ว่าความสะดวกสบายบางอย่างขาดหายไป แต่ยังสามารถเอาตัวรอดได้

แต่คนจำนวนมากที่เกิดมาในยุคดิจิทัลใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์มาตลอดคงไม่สามารถจินตนาการได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีไฟฟ้าใช้ และอาจไม่เคยเตรียมตัวกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดไฟฟ้าดับ ระบบอินเทอร์เน็ตขัดข้อง ซึ่งในโลกความเป็นจริงสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ

โดยเฉพาะเมื่อเกิดสถานการณ์ภัยพิบัติ น้ำท่วม พายุเข้า แผ่นดินไหว เกิดการจลาจล หรือแม้แต่ภัยสงคราม ซึ่งเหตุการณ์แบบนั้นอาจใช้เวลาหลายวัน หรือนานนับสัปดาห์กว่าโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จะกู้กลับคืนมาได้ และโอกาสจะเกิดขึ้นคงมีไม่มากนัก แต่เหตุการณ์ที่ระบบอินเทอร์เน็ตขัดข้อง ไฟฟ้าดับชั่วคราว หรือไปในสถานที่ซึ่งอินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง อาจเป็นเรื่องที่หลายๆ คนเคยเจอมาเป็นประจำ

การไม่เตรียมพร้อม การไม่พยายามปรับตัวกับสถานการณ์ฉุกเฉินบางครั้งก็อาจเป็นปัญหากับคนส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน จำได้ว่าเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ทางนิติบุคคลหมู่บ้านที่ผมอยู่ได้แจ้งข่าวมาล่วงหน้าว่าการไฟฟ้าจะทำการดับไฟตั้งแต่ช่วงเวลา 09.00-15.00 น. ในวันเสาร์เพื่อทำการซ่อมแซมระบบไฟฟ้า ผู้คนในหมู่บ้านบางคนถึงกับบ่นว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร และบางคนถึงกับแจ้งมายังนิติบุคคลให้ช่วยทำคู่มือการใช้ชีวิตประจำวันในช่วงที่ไฟฟ้าดับ

แต่สำหรับคนที่เกิดมาในยุคอนาล็อกแบบผม ยุคที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศใช้ในบ้าน ยุคที่ไม่มีเครื่องซักผ้า ยุคที่ไฟฟ้าดับข้ามวันเป็นเรื่องปกติ ก็จะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ และพร้อมที่จะเผชิญสถานการณ์ที่ไม่มีไฟฟ้าหรืออินเทอร์เน็ตใช้

การฝึกตัวเองให้เตรียมพร้อมกับการไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้บางครั้งก็เป็นเรื่องจำเป็น และเราควรสร้างทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน และการเอาตัวรอดโดยไม่มีอินเทอร์เน็ตให้กับคนทุกคน โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นใหม่ แม้หลายคนจะมองว่าเป็นไปไม่ได้ระบบอินเทอร์เน็ตไม่มีทางที่จะหายไปไหน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ

ผู้คนจะไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ อาจต้องเดินทางออกมาซื้อสินค้าที่ร้านค้า โดยบางคนอาจไม่รู้ว่าซื้อสินค้าที่ไหน เลือกสินค้าอย่างไร จะต่อรองราคาสินค้าอย่างไร และข้อสำคัญอาจไม่รู้ว่าต้องไปซื้อในเวลาที่ร้านเปิดทำการ ซึ่งคนในโลกออนไลน์ไม่คุ้นเคยนักเพราะโลกออนไลน์สามารถซื้อของได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้คนไม่สามารถสืบค้นข้อมูลออนไลน์ได้ ไม่สามารถถามข้อมูลจากกูเกิลได้ ต้องหาเอกสารค้นคว้าด้วยตนเอง ต้องกลับไปอ่านหนังสือในห้องสมุด ฝึกการสืบค้นข้อมูลในรูปแบบเดิม

ผู้คนไม่สามารถที่จะดูหนัง ฟังเพลง เลือกรับข่าวสาร และสื่อบันเทิงผ่านออนไลน์ แต่ต้องกลับไปดูทีวีช่องปกติเดิมๆ ฟังวิทยุ รับหนังสือพิมพ์ที่เป็นรูปเล่มแบบเดิม ข่าวสารก็อาจล่าช้าไม่รวดเร็วเหมือนในปัจจุบัน สื่อบันเทิงต่างๆ ก็คงไม่มีให้เลือกมากเท่าปัจจุบัน หรือจะเลือกรับชมรับฟังเวลาไหนก็ได้เช่นปัจจุบัน

ผู้คนต้องกลับไปใช้แผนที่แบบเดิมๆ ในการเดินทาง โดยไม่มีกูเกิล แมพใช้ ไม่มีระบบอัจฉริยะบอกเส้นทางการเดินทาง ต้องฝึกดูแผนที่ ที่อยู่ในกระดาษให้เป็น

ผู้คนไม่มีโซเชียลมีเดียใช้ สังคมอาจจะน่าเบื่อขึ้น ไม่สามารถจะสื่อสารกับเพื่อนในโลกออกไลน์ได้ ต้องกลับมาพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ และผู้คนในโลกแห่งความจริง บางคนอาจต้องกลับมาฝึกทักษะในการสื่อสารกับผู้คนที่ไม่ใช่การส่งข้อความหรือวิดีโอคอลแบบเดิม สังคมก้มหน้าจะหายไป

จากตัวอย่างที่ยกมาจะเห็นได้ว่า เมื่อไม่มีอินเทอร์เน็ต การทำงาน การสื่อสาร ความบันเทิงต่างๆ ไม่สะดวกสบายแบบเดิม ใช้ชีวิตยากลำบากขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราก็อาจได้ชีวิตกับโลกของความเป็นจริง มีความสุข ใช้ชีวิตกับครอบครัว และเพื่อนฝูงได้ดีขึ้น อยู่กับธรรมชาติมากขึ้น

จริงอยู่ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตคือ สิ่งจำเป็นที่ต้องมี และได้เปลี่ยนการใช้ชีวิตผู้คนไปอย่างมาก แต่บางครั้งการกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติโดยไม่มีอินเทอร์เน็ต ก็อาจสร้างความสุขในชีวิตเราในบางด้านกลับมา และข้อสำคัญยิ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีอินเทอร์เน็ตหรือไฟฟ้าใช้ทุกที่ทุกเวลาตลอดไป

ดังนั้นการฝึกตัวเองให้อยู่กับโลกที่ไม่มีอินเทอร์ฺเน็ตก็อาจเป็นทักษะที่สำคัญด้านหนึ่งสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน และพร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอทุกที่ทุกเวลา

 

 


พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์