ไทยเดินเกมไซเบอร์ใหม่! สกมช.อัปเกรดแผนความมั่นคง เสริมเกราะระบบการเงินดิจิทัลภาครัฐ

จับตานโยบายไซเบอร์ฉบับใหม่ของไทย สกมช. เร่งวางกรอบรับมือภัยคุกคามยุคดิจิทัล พร้อมผนึกกำลังกระทรวงการคลังเสริมเกราะระบบการเงินภาครัฐ
KEY
POINTS
- สกมช. เดินหน้าจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ฉบับใหม่ (พ.ศ. 2571–2575) เพื่อยกระดับการรับมือภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นในอนาคต
- สกมช. ได้ลงนามความร่วมมือ (MoU) กับกระทรวงการคลัง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและยกระดับมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านการคลังของประเทศโดยเฉพาะ
- ความร่วมมือมุ่งสนับสนุนภารกิจด้านการเงินการคลังภาครัฐให้มีความมั่นคงและโปร่งใส ผ่านการพัฒนาทักษะบุคลากร การสร้างความตระหนักรู้ และการให้คำปรึกษาด้านไซเบอร์
- ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันพัฒนากลไกการป้องกัน รับมือ เฝ้าระวัง และแลกเปลี่ยนข่าวกรองภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้เป็นระบบและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
- เป้าหมายสำคัญคือการสร้างความสามารถในการฟื้นตัวจากเหตุการณ์ไซเบอร์ (Cyber Resilience) และเปลี่ยนแนวทางการรับมือจากรายกรณีไปสู่การบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงระบบอย่างยั่งยืน
พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ระบุว่า สกมช.เดินหน้าเตรียมความพร้อมเชิงนโยบาย รับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ทวีความซับซ้อนและรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้จัดประชุมคณะกรรมการทบทวนและจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
การประชุมดังกล่าวมีเป้าหมายสำคัญในการเตรียมจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ ฉบับใหม่ พ.ศ. 2571–2575 เพื่อยกระดับกรอบนโยบายให้มีความทันสมัย ครอบคลุม และสอดรับกับรูปแบบภัยคุกคามไซเบอร์ในอนาคต ซึ่งเกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างก้าวกระโดด ทั้งภัยด้านข้อมูล การโจมตีทางไซเบอร์ และความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในระดับประเทศ
เขา เสริมว่า ที่ประชุมได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และแนวทางดำเนินงานในหลายมิติอย่างรอบด้าน โดยข้อมูลและข้อเสนอทั้งหมดจะถูกนำไปใช้เป็นฐานสำคัญในการยกร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการในระยะถัดไป เพื่อให้มีความครบถ้วน สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน และสามารถคาดการณ์ทิศทางภัยคุกคามในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการยกระดับระบบความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน
ทั้งนี้ เพื่อควบคู่กับการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย สกมช. ยังเดินหน้าสร้างความร่วมมือเชิงบูรณาการกับหน่วยงานหลักของประเทศ โดยเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 สกมช. ได้ร่วมกับกระทรวงการคลัง ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MoU) เพื่อเสริมสร้างและยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคลังของประเทศ ให้เท่าทันต่อสถานการณ์ภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งสนับสนุนภารกิจด้านการเงินการคลังของภาครัฐให้มีความมั่นคง โปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว ผ่านการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ด้านไซเบอร์ การสร้างความตระหนักรู้ต่อภัยคุกคามจากเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการเงิน
ทั้งสองหน่วยงานยังจะร่วมกันประสานงาน ให้คำปรึกษา และสนับสนุนการพัฒนากำลังคนด้านไซเบอร์ ตลอดจนการปฏิบัติตามนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน การรับมือ การลดความเสี่ยง ไปจนถึงการเฝ้าระวัง ติดตาม วิเคราะห์ และแจ้งเตือนภัยคุกคามทางไซเบอร์ พร้อมยกระดับการแลกเปลี่ยนข่าวกรองภัยคุกคามและระบบแจ้งเตือนภัยของประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
นายอรรถพล อรรถวรเดช รองปลัดกระทรวงการคลัง ด้านบริหาร กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านการคลังและระบบการเงินการคลังของประเทศถือเป็นหัวใจสำคัญของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกมิติ ตั้งแต่ระบบจัดเก็บรายได้ การเบิกจ่ายงบประมาณ ไปจนถึงบริการดิจิทัลเพื่อประชาชน
ซึ่งแม้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ก็ทำให้ความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ทวีความซับซ้อนมากขึ้น กระทรวงการคลังจึงเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับมาตรการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ สกมช. เพื่อพัฒนากลไกการเฝ้าระวังและรับมือภัยคุกคามอย่างเป็นระบบ
ด้าน พลอากาศตรี อมร ระบุว่า ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปัจจุบันมีลักษณะเชื่อมโยงและขยายวงกว้าง การรับมือจึงไม่สามารถแยกส่วนดำเนินการได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ การประสานงาน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีเอกภาพ ความร่วมมือกับกระทรวงการคลังภายใต้ MoU ฉบับนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพการเฝ้าระวัง ตรวจจับ วิเคราะห์ และตอบสนองต่อภัยคุกคามของหน่วยงานด้านการคลังให้มีความรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรด้านไซเบอร์ควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานด้านเทคนิค เพื่อสร้างความพร้อมและความสามารถในการฟื้นตัวจากเหตุการณ์ไซเบอร์ (Cyber Resilience) ของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ โดยความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับการบริหารจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ของประเทศ จากการรับมือเป็นรายกรณี สู่การจัดการเชิงระบบอย่างยั่งยืนในระยะยาว







