เมื่อ AI สะเทือนโลกคนทำงาน ทางออกอยู่ที่ไหน

ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ที่ทำให้คนทำงานในวงการธนาคารออกอาการ เมื่อธนาคาร ABN Amro ธนาคารใหญ่อันดับสามของเนเธอร์แลนด์ประกาศว่าใน 3 ปีข้างหน้ามีแผนจะปลดพนักงานออกราว 5,200 ตำแหน่ง
หรือเกือบ 25% ของตำแหน่งงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากงานต่างๆ โดยเฉพาะสายงานสนับสนุนจะลดลงไม่น้อยกว่า 35% ผลจากการถูกทดแทนโดย AI
สำหรับบางคน อาจไม่ประหลาดใจกับข่าวนี้เท่าไร เพราะก่อนหน้านี้บริษัทใหญ่ๆ ก็ออกมาประกาศเรื่องทำนองนี้ไปแล้ว เช่น บริษัท HP ประกาศลดพนักงาน 4,000-6,000 ตำแหน่งภายในสิ้นปีนี้ เช่นเดียวกับ IBM ที่มีแผนจะทดแทนตำแหน่งงานสนับสนุนหรืองานหลังบ้านด้วย AI และเทคโนโลยีอื่นๆ ราวๆ 30% หรือประมาณ 8,000 ตำแหน่งในระยะ 5 ปีข้างหน้า
ความกังวลในหมู่ผู้ทำงานว่า AI จะมาแทนคนในอนาคตนั้นมีการพูดกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่วันนี้ความกังวลกลายเป็นความวิตกจริตเพราะอนาคตที่ว่านั้นมาเร็วกว่าที่คาด
ล่าสุดสถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ใช้เครื่องมือการจำลองตลาดแรงงานที่เรียกว่า Iceberg Index ที่ป้อนข้อมูลคนทำงานกว่า 151 ล้านคนในตลาดแรงงาน ประกอบด้วย 923 อาชีพ มากกว่า 32,000 ทักษะเข้าไปเพื่อวัดว่ามีการซ้อนทับกันขนาดไหน ระหว่างงานและทักษะของคนทำงานแต่ละอาชีพกับความสามารถของ AI และ Agentic AI ในปัจจุบัน
ผลการทดสอบพบว่า AI สามารถทดแทนงานในตลาดแรงงานปัจจุบันของสหรัฐอเมริกาได้แล้ว 11.7% ซึ่งหากคิดเป็นมูลค่าค่าจ้างก็ตกราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ครอบคลุมหลากหลายธุรกิจตั้งแต่ การเงิน บริการสุขภาพ การบริหารจัดการ และวิชาชีพต่างๆ
ขณะที่ World Economic Forum สำรวจพบว่าบริษัท 41% ทั่วโลกมีแผนจะลดคนในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพราะการนำเอา AI มาใช้ และงานด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ big data, fintech และ AI จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2030 ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้งานที่ถูกแทนที่ด้วย AI จะเพิ่มอีกมาก คนจะตกงานมากแค่ไหนไม่ยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ โดยเฉพาะในภาคการเงิน ค้าปลีก การจัดการ โฆษณา และการขนส่ง
หากมองในแง่ร้าย การปลดพนักงานเป็นการสะท้อนถึงภัยคุกคามจาก AI แต่หากมองในแง่บวก AI จะช่วยพลิกสังคมและเศรษฐกิจไปสู่การเพิ่มผลิตภาพ (productivity) ให้สูงขึ้นด้วยการเลิกทำงานประเภทที่ไม่สร้างคุณค่า (value) คือ งานง่ายๆ และซ้ำซาก เป็นการดึงศักยภาพของคนออกมาทำงานที่ท้าทายขึ้นและทำให้คนได้ตระหนักถึงความสำคัญของตัวเองมากขึ้น นี่คือ สิ่งที่คนทำงานยุคใหม่ต้องปรับวิธีคิดและวิธีทำงาน
ความร่วมมือแบบสามประสานระหว่างรัฐบาล องค์กรผู้ว่าจ้าง และที่สำคัญคือตัวผู้ทำงานเองจะช่วยบรรเทาการว่างงานจำนวนมากในอนาคตอันใกล้อันเนื่องมาจากความรวดเร็วของเทคโนโลยี AI
รัฐบาล มีหน้าที่สร้างมาตรการยกระดับความสามารถคน รวมทั้งหาทางช่วยผู้ปรับตัวไม่ทันกับ AI ต้องเร่งปรับทักษะคนให้ทันกับทักษะใหม่ หรือต่อยอดทักษะเดิมด้วยวิธีการที่ได้ผล ทั่วถึง และวัดผลได้ อย่าเอาแต่หว่านเงินอบรมแบบ one size fits all ที่ทำๆ กันด้วยงบปีละหลายร้อยล้านบาท คนที่มาอบรมก็เกณฑ์กันมาหรือจ้างกันมา อบรมแล้วก็สูญเปล่า
อาจให้เป็นแต้มหรือวงเงินใส่กระเป๋าเหมือนโครงการคนละครึ่ง ให้ไปเรียนในสิ่งที่คิดว่าถนัดและที่จะรองรับงานในอนาคตได้ แบบให้คนเรียนวางแผนชีวิตตัวเอง เหมือนอย่างสิงคโปร์ทำโครงการ SkillsFuture ที่จ่ายให้คนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปเพื่อเรียนรู้ใหม่ไม่เกิน 3,000 เหรียญต่อเดือนไม่เกิน 2 ปี ทั้งให้เรียนแบบสะสมเครดิตที่ไม่มีวันหมดอายุได้ตลอดไป เพื่อกระตุ้นให้เรียนเพิ่ม เรียนลึก และเรียนยาว
รัฐอาจใช้มาตรการทางภาษีจูงใจให้กิจการที่เพิ่มผลิตภาพของพนักงานโดยใช้ AI หรือที่พยายามรักษาคนงานให้ใช้ AI ร่วมและช่วยในการทำงาน (augmentation) แทนที่จะเอาคนงานออกเพราะผลจาก AI (automation) มีการสนับสนุนทั้งทางเทคนิคและการเงินเพื่อช่วย SMEs ในการเปลี่ยนผ่านคนและการทำงานไปสู่การใช้ AI
ทั้งนี้ รัฐควรมีข้อมูลว่าธุรกิจใด พนักงานกลุ่มไหนที่มีความเสี่ยงจะโดนกระทบมากที่สุดแล้วเริ่มช่วยเหลือเป็นรายกลุ่ม ไม่ใช่แบบเหวี่ยงแห
องค์กรผู้ว่าจ้าง ควรรับผิดชอบต่อการจัดการการเปลี่ยนผ่านโดยคำนึงถึงจริยธรรม ต้องมีเป้าที่จะนำ AI มาทำงานร่วมกันคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ใช่มุ่งแต่จะปลดคนออก ต้องวางแผนผลักดันพนักงานไปสู่จุดที่สร้างคุณค่าของงานและของตัวเองให้เท่าทัน AI เช่น พนักงานคอลล์เซ็นเตอร์ไปสู่พนักงานที่ปรึกษาทางเทคนิค เป็นต้น
วางเส้นทางการปรับตัวของแต่ละตำแหน่งให้ชัด หากจะต้องปลดคนต้องมีแผนล่วงหน้าเพื่อให้เตรียมตัว ต้องวัดผลิตภาพของพนักงานสม่ำเสมอเพื่อให้ข้อมูลว่าพนักงานสามารถทำได้ พนักงานจะได้มีกำลังใจที่จะเปลี่ยน ทุกอย่างต้องมีแผนและดำเนินการอย่างโปร่งใส ให้พนักงานรู้ว่าตำแหน่งงานไหนจะถูกกระทบอย่างไร กิจการจะสนับสนุนอย่างไร และอาจร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อให้มาช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงทักษะให้พนักงาน
ผู้ทำงาน ต้องปฏิวัติตัวเองอย่างรวดเร็ว ไม่หยุดที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ต้องยืดหยุ่นพอที่จะมีความสามารถหรือเส้นทางการทำงานมากกว่าหนึ่งทาง เช่น พนักงานทรัพยากรมนุษย์สามารถใช้ AI เพื่อช่วยในการคัดเลือกคน สามารถจัดทำโฆษณารับสมัครงานที่ดึงดูด เผยแพร่ในช่องทางที่ได้ผู้สมัครที่ดีและค่าใช้จ่ายต่ำ
สามารถนำ AI มาใช้เพื่อการลดต้นทุนในสำนักงาน สรุปว่าต้องทำตัวเองให้เก่งขึ้นมีคุณค่ามากขึ้น พร้อมที่จะทำงานกับ AI ไม่ใช่งอมืองอเท้า และในทางร้ายที่สุดเตรียมเงินฉุกเฉินไว้เสมอสำหรับการตกงาน 3-6 เดือน
ช้าหรือเร็ว AI จะสร้างความสั่นสะเทือนต่อตลาดแรงงานอย่างกว้างขวาง สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องเลิกกลัว AI แต่เรียนรู้และโอบรับ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ทุกฝ่ายต้องรีบปรับตัวเปลี่ยนแปลงทั้งรัฐ เอกชน และผู้ทำงาน เพราะ AI เก่งขึ้นทุกวินาทีและจะท้าทายทุกคนไม่มีเว้น







