วัยไม่ใช่ปัญหา

เรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก คือโครงสร้างสังคมที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ คนแต่งงานน้อยลง มีลูกน้อยลง ในขณะที่ผู้สูงอายุกลับมีอายุยืนยาวขึ้นจากความก้าวหน้าของเวชศาสตร์ชะลอวัย
โลกทั้งใบกำลัง “แก่ขึ้น” แต่ไม่ได้แก่แบบอ่อนแรง หากแก่แบบยังเดินได้ ทำงานได้ และยังคงมีบทบาทในสังคมต่อไป
หากย้อนกลับไปในรุ่นปู่รุ่นย่า อายุ 60–70 ปี มักถูกมองว่าเป็นช่วงบั้นปลายชีวิต แต่วันนี้อายุ 70–75กลายเป็นเรื่องปกติที่หลายคนยังแข็งแรง ใช้ชีวิตได้เต็มที่ และยังอยากทำงาน เพราะการมีงานทำทำให้ชีวิตยังมีคุณค่า มีจังหวะ มีความหมาย
ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของสังคมกลับเงียบลง เด็กเกิดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผลกระทบเริ่มปรากฏเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ข่าวโรงเรียนหลายแห่งต้องปิดตัวลง ไปจนถึงมหาวิทยาลัยที่รับนักศึกษาได้น้อยลงจนต้องควบรวม หรือเลิกกิจการ นี่ไม่ใช่เรื่องของการบริหารผิดพลาดเพียงอย่างเดียว แต่คือผลลัพธ์ของโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปทั้งระบบ
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในอาเซียน โครงสร้างประชากรของเราคล้ายกับ ญี่ปุ่นและยุโรป คือคนรุ่นใหม่มีจำนวนไม่พอจะเข้ามาเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในขณะที่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประเทศจึงต้องแบกรับภาระทั้งด้านแรงงาน การคลัง และสวัสดิการพร้อม ๆ กัน
ยุโรปพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการเปิดรับแรงงานต่างชาติ หวังให้มาชดเชยประชากรวัยทำงานที่หายไปแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับซับซ้อนกว่าที่คิด ปัญหาทางสังคม วัฒนธรรม และความมั่นคงตามมาเป็นลูกโซ่
กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่หลายประเทศยังหาคำตอบไม่ได้ว่าควรเปิดแค่ไหนและควบคุมอย่างไร
ในสหรัฐอเมริกา ปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมาย โดยเฉพาะแรงงานชาวลาติน ถูกถกเถียงอย่างดุเดือดถึงขั้นมีแนวคิดสร้างกำแพงกั้นพรมแดน ทั้งที่ในความเป็นจริง แรงงานเหล่านี้คือกำลังสำคัญของภาคเกษตรและแรงงานใช้แรง หากวันหนึ่งพวกเขาหายไปจริง ธุรกิจจำนวนมากอาจเดินต่อไม่ได้ นี่คือความย้อนแย้งของโลกยุคใหม่ ที่ต้องพึ่งแรงงาน แต่ก็กลัวแรงงานไปพร้อมกัน
แม้แต่ญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ไม่เปิดรับแรงงานต่างชาติมากนัก วันนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ และภาคท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นกับไทยจึงยิ่งดูคล้ายกันเข้าไปทุกที และสิ่งที่ญี่ปุ่นเผชิญอยู่วันนี้ กำลังจะเป็นภาพของไทยในวันข้างหน้า
หนึ่งในภาพที่ชัดที่สุดคือ ผู้สูงอายุยังต้องทำงาน ในญี่ปุ่น เราเห็นพนักงานเก็บค่าผ่านทางบนทางด่วนอายุ 60–70 ปีเป็นเรื่องปกติ หลายคนเกษียณจากงานเดิมแล้ว แต่ยังเลือกมาทำงานต่อ เพราะยังแข็งแรง ยังต้องใช้จ่าย และยังไม่อยากหยุดชีวิตไว้แค่คำว่า “เกษียณ”
ขณะที่ประเทศไทย เรามักใช้คนหนุ่มสาว หรือไม่ก็พยายามลดการใช้คนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ความต่างนี้สะท้อนวิธีคิดของสังคมอย่างชัดเจน ญี่ปุ่นเลือก “ยืดอายุการทำงานของคน” ส่วนไทยเลือก “ลดบทบาทของคน” ด้วยเทคโนโลยี ซึ่งทั้งสองทางต่างมีข้อดีและข้อจำกัดของตัวเอง
ในบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น หลายแห่งขยายอายุเกษียณจาก 60 ไปเป็น 65 หรือแม้แต่ 70 ปี ภายใต้แนวคิดที่ว่า “หากยังเคลื่อนไหวได้ ก็ยังควรทำงาน” นี่ไม่ใช่การบังคับ แต่คือการเปิดทางเลือกให้คนที่ยังอยากมีบทบาท ได้มีพื้นที่ยืนในระบบเศรษฐกิจต่อไป
การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อวัฒนธรรมองค์กรอย่างมหาศาล เพราะองค์กรหนึ่งต้องรองรับคนหลายเจเนอเรชัน ตั้งแต่คนรุ่นที่เติบโตมากับการจดโน๊ตด้วยกระดาษ โทรศัพท์บ้าน ไปจนถึงคนรุ่นที่เกิดมากับสมาร์ตโฟนและ AI ช่องว่างระหว่างวัยจึงไม่ได้อยู่แค่เรื่องอายุ แต่คือวิธีคิด วิธีทำงาน และจังหวะชีวิตที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในไทย เราเริ่มเห็นบริษัทที่เดินตามแนวทางเดียวกัน การขยายอายุเกษียณจาก 60 เป็น 63 หรือ 65 ปี การจ้างงานแบบยืดหยุ่น ไม่จำเป็นต้องเป็นพนักงานประจำ ไม่ต้องทำงานเต็มวัน แต่ทำงานตามสัญญาหรือเป็นที่ปรึกษาเฉพาะทางตามโปรเจกต์ เปิดพื้นที่ให้ผู้สูงอายุเลือกจังหวะชีวิตของตัวเองได้มากขึ้น
เพราะความจริงคือ ไม่ใช่ทุกคนอยากทำงานหนักเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้อยากหยุดทำงานไปเลย การมีงานที่เหมาะสมกับพลังและเวลาของตัวเอง ดีกว่านั่งเฉย ๆ โดยไม่มีบทบาทใดในสังคม การทำงานจึงไม่ใช่แค่เรื่องรายได้ แต่คือการรักษาศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นมนุษย์
โลกไม่เคยรอใคร เช่นเดียวกับโครงสร้างประชากรที่ไม่รอให้เราพร้อม หากวันนี้เราไม่เริ่มคิด ไม่เริ่มปรับวันหนึ่งช่องว่างระหว่างวัยอาจไม่ใช่แค่ความต่างทางความคิด
แต่กลายเป็นรอยร้าวของสังคมทั้งระบบและนั่นคือราคาที่แพงเกินกว่าจะปล่อยให้เกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรเลย







