ใช้ AI จับนาซี | อาหารสมอง

AI สร้างความแปลกใจให้เราได้เสมอทั้งด้านดีและร้ายในแต่ละวัน AI ในปัจจุบันถือได้ว่ายังอยู่ในชั้นประถม ในเวลาอีกไม่นานมันจะเลื่อนขึ้นไปถึงชั้นมัธยมและมหาวิทยาลัย
ลองมาดูตัวอย่างแปลก ๆ ของอิทธิฤทธิ์ AI เรื่องแรกทำให้เกิดแง่คิดในเรื่องการทำความดีในปัจจุบัน และที่เหลือคือเรื่องของ “กระเป๋า” ถูกทำร้ายอย่างรุนแรง
ภาพของความโหดร้ายทารุณของนาซีในสงครามโลกครั้งที่สองที่ถ่ายไว้เมื่อ 84 ปีก่อน แสดงภาพชายคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ปากหลุมด้วยสายตาที่หวาดกลัวอย่างยิ่ง เพราะห่างไปจากศีรษะของเขาเพียงไม่กี่นิ้วมีปืนสั้นจ่ออยู่ คนที่ถือปืนใส่แว่นตาและอยู่ในเครื่องแบบทหารนาซีท่ามกลางคนที่เฝ้ามองอยู่
ภาพนี้ดังมาก (คล้ายภาพที่ตอนสงครามเวียดนามมีคนกำลังถูกปืนยิงที่ศีรษะ) โดยถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายที่คนยิวได้รับในยุคฆ่ากวาดล้างยิวครั้งใหญ่ในรูปแบบต่าง ๆ ที่รู้จักกันในชื่อ Holocaust
ภาพที่รู้จักกันกว้างขวางนี้มีชื่อว่า “The Last Jew in Vinnitsa” คำถามที่น่าคิดแต่ยังไม่เคยมีใครตอบได้ตลอดเวลาเกือบ 9 ทศวรรษที่ผ่านมาก็คือเหยื่อกับฆาตกรคนนี้คือใคร ไม่มีใครตอบได้ก็ไม่ว่ากระไร แต่วันนี้ AI ช่วยตอบได้บ้างแล้ว
Dr.Jürgen Matthäus อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่ U.S. Holocaust Memorial Museum ที่วอชิงตัน ดี.ซี. เขียนบทความลงวารสาร The Journal of Historical Studies ในเดือนกันยายน 2025 ระบุว่าฆาตกรคือ Jakobus Onnen อายุ 34 ปี อดีตครูในเมือง Tichelwarf ใกล้พรมแดนเยอรมันกับเนเธอร์แลนด์ เขาค้นหาชื่อได้จากการใช้ AI เป็นเครื่องมือ
คนรู้จักภาพนี้เป็นครั้งแรกระหว่างคดีของนาซีคนสำคัญคือ Adolf Eichmann ในปี 1961 (เป็นวิศวกรคนสำคัญของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว หนีไปอาร์เจนตินาหลังสงครามและถูกจับโดยอิสราเอลมาขึ้นศาล) โดยมีผู้ที่รอดจาก Holocaust คนหนึ่งเป็นเจ้าของโดยไม่รู้เรื่องอะไรในภาพ ที่เขาเอามาเปิดเผยให้ผู้คนได้เห็นกันก็เพราะต้องการให้โลกได้รู้ถึงความเลวร้ายในช่วงเวลาที่จำเลยมีอำนาจ
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนาซีบอกว่า ภาพนี้เปิดเผยให้เห็นบรรยากาศและรายละเอียดของทั้งเหยื่อและฆาตกรอย่างไม่เคยเห็นในภาพอื่น Dr.Matthäus ผู้ค้นพบชื่อฆาตกร เคยเขียนในบทความก่อนหน้าคือในปี 2024 ว่าภาพนี้แท้จริงแล้วมาจากเหตุการณ์ที่เมือง Berdichev ในยูเครนซึ่งอยู่ทางเหนือไปอีก 80 กิโลเมตรจากเมือง Vinnitsa ซึ่งเคยเข้าใจกันว่าเป็นที่เกิดเหตุ
เหตุที่มั่นใจก็เพราะเขาพบไดอารี่ของทหารออสเตรียคนหนึ่ง ที่มีภาพจากเหตุการณ์ฆ่าหมู่ครั้งเดียวกันนี้สอดแทรกอยู่ โดยข้างหลังภาพเขียนว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 28 ก.ค. 1941 ที่เมืองนี้ เขาบรรยายภาพว่าเป็นการฆาตกรรมหมู่ ดำเนินการโดยกลุ่มทหารพิเศษที่ตั้งขึ้นมาเพื่อการฆ่าโดยเฉพาะ
ผู้ตั้งกลุ่มคือ Heinrich Himmler นาซีผู้มีอำนาจมากที่สุดรองลงมาจากฮิตเลอร์ในปี 1941 ขณะที่กองทัพเยอรมันบุกเมือง St.Petersburg (ตอนนั้นมีชื่อว่า Leningrad) ของโซเวียต เพื่อลุยต่อไปยัง Moscow ทหารปล้นฆ่าทำลายไปตลอดทางโดยเฉพาะทำร้ายเด็กและผู้หญิง Onnen ทหารฆาตกรก็อยู่ในกลุ่มทหารเหล่านี้ด้วยและคงมีบทบาทที่โดดเด่น เขาตายในสงครามเมื่อ 12 ส.ค. 1943 ขณะต่อสู้กับกองทัพโซเวียต
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาได้ชื่อ Onnen มาก็เพราะไปได้อัลบั้มภาพถ่ายของครอบครัวจากญาติ เมื่อเอาภาพมาจัดให้เป็นระเบียบและจัดระบบข้อมูลแล้วก็ให้ AI เปรียบเทียบกับภาพต้นตอ ผลที่ได้คือความแม่นยำ 99.99% ว่าเป็น Onnen
ที่อยากรู้ก็คือ เขาไปพบญาติที่มีอัลบั้มภาพถ่ายได้อย่างไร เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดแต่น่าจะเป็นว่าได้ข้อมูลจากการดูรูปอื่นๆ ประกอบและพิจารณาบทสัมภาษณ์ผู้คนที่เป็นญาติกับบุคคลในเหตุการณ์ หรือเคยอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นและได้ข้อมูลจนนำไปสู่อัลบั้ม งานจับคู่เช่นนี้ AI ทำได้ดีมาก ดังเช่นวิธีใช้การจำหน้าเพื่อเปิดโทรศัพท์ หรือขึ้นเที่ยวบินในปัจจุบัน
ข้อคิดก็คือในอนาคตเมื่อข้อมูลต่างๆ ทั้งอดีตและปัจจุบันจำนวนมหาศาลในด้านต่างๆ ถูกปรับอยู่ในระบบดิจิทัลแล้ว การให้ AI วิเคราะห์เพื่อหาคำตอบที่สงสัยก็จะมีประสิทธิภาพอย่างมาก เช่น การตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่ดูน่าสงสัย ว่าใครเป็นตัวละคร ใครที่อยู่ในภาพลึกลับในเหตุการณ์ที่ชั่วร้ายในประวัติศาสตร์ ฯลฯ ก็จะถูกเปิดเผยมากขึ้น
การวิเคราะห์ผลงาน ผลจากการทำงาน การคดโกง การบิดเบี้ยว ยอกย้อน ฯลฯ ก็จะปรากฏชัดเจนโดยคนในชั่วคนต่อๆ ไปที่มีข้อมูลและเครื่องมือจากเทคโนโลยีขั้นสูงมาช่วยในการใช้แว่นส่องขยายหาคำตอบ ดังนั้น การทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดในปัจจุบันจึงจะเป็นสิ่งประกันไม่ให้ถูกสาปแช่งโดยลูกหลานเมื่อพบความชั่วร้ายของตนในอนาคต
ในเรื่องการเลวร้ายของ AI ที่จะล้วง “กระเป๋า” เราจะมาจากการปลอมภาพ ปลอมเสียง ปลอมหลักฐาน ปลอมเอกสาร ฯลฯ โดย AI ผ่านการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วคือ การแฮ็กข้อมูล การสืบหาพาสเวิร์ด การหลอกว่าลูกหรือญาติถูกเรียกค่าไถ่หรืออยู่ในภาวะลำบาก
กล่าวคือ หาประโยชน์จากอารมณ์ความกลัว ความตกใจความเร่งด่วน เช่นหลอกว่าลูกกำลังป่วยต้องรีบส่งเงินให้โดยใช้ภาพและเสียงที่เหมือนจริงอย่างยิ่ง (แก้เผ็ดด้วยการนัดลูกๆ ไว้ล่วงหน้าในการใช้คำพูดพิเศษเป็นโค้ดที่รู้กันเฉพาะเมื่อเอ่ยขึ้นมาว่าเป็นตัวจริง)
การใช้ deepfake ในการหลอกลวงเช่นนี้จะมีมากขึ้นและแนบเนียนยิ่งขึ้น โดยอาศัยการสนับสนุนจากเอกสารหรือบุคคลปลอมที่น่าเชื่อถือ การมีสติ การเตรียมตัวรับมือ การปิดโอกาสให้มีน้อยที่สุด (มีบัญชีเงินชนิดโอนได้ที่มียอดเงินต่ำและน้อยบัญชี หรือเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวให้น้อยสุดออนไลน์) ฯลฯ ในอนาคต AI จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ “ล้วงกระเป๋า” ที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
สแกมเมอร์จะ “ล้วงกระเป๋า” เราได้ยากมากหากเรามีสติ (ไม่โลภ ไม่ตื่นตกใจ ไม่เชื่ออะไรทั้งสิ้นไว้ก่อน) อีกทั้งตัดสายทิ้งไปเลยเมื่อรู้ว่าเป็นมิจฉาชีพและบล็อกหมายเลขนั้นทันที ต้องคิดเสมอว่ามี AI ที่จ้องเล่นงานเราอยู่ตลอดเวลาและพร้อมที่จะ “ล้วงกระเป๋า” เราอยู่เสมอด้วย







