องค์กรไทยเร่งเครื่อง Green AI ผสานไอที–ความยั่งยืนสู่แกนธุรกิจ

“คินดริล - ไมโครซอฟท์” เผย 82% องค์กรไทยผนึกพลังไอที-ความยั่งยืนได้อย่างแข็งแกร่ง ชี้ AI คือกลไกขับเคลื่อน ช่วยปลดล็อกการเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
KEY
POINTS
- องค์กรไทย "พร้อม" ในการผสานเทคโนโลยีสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
- AI ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- แรงผลักดันสำคัญในการทำโครงการด้านความยั่งยืนขององค์กรไทยมาจากผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
- ความตระหนักรู้เกี่ยวกับ Green AI ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
- คุณภาพของข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการนำไปใช้ในวงกว้าง
ประเทศไทยนับว่ามีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการปรับใช้ AI เพื่อจัดการความเสี่ยงและสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นด้านสิ่งแวดล้อม ปูทางสู่ความยั่งยืนที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม...
“คินดริล - ไมโครซอฟท์” เผย 82% องค์กรไทยผนึกพลังไอที-ความยั่งยืนได้อย่างแข็งแกร่ง ชี้ AI คือกลไกขับเคลื่อน ช่วยปลดล็อกการเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
คินดริล (Kyndryl) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีชั้นนำ เผยว่า องค์กรในประเทศไทยมีความร่วมมือระหว่างทีมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) และทีมงานด้านความยั่งยืนอยู่ในระดับสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค
องค์กร 82% รายงานว่า ทั้งสองส่วนงานนี้มีการทำงานอย่างสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 73%
ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่า องค์กรไทยมีความพร้อมอย่างมากในการเสริมสร้างความยั่งยืน และการนำ AI มาผสานใช้ในการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม
ผสาน 'AI – ข้อมูล' สู่แกนหลักธุรกิจ
ข้อมูลระบุว่า องค์กรจำนวน 32% ยังคงรักษาหรือพัฒนาเป้าหมายด้านความยั่งยืนของตนให้ก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตเต็มที่ทั้งในด้านความตระหนักรู้และการลงมือปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน
บริษัทต่าง ๆ ตอบสนองต่อความคาดหวังด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กำลังพัฒนา การจัดลำดับความสำคัญของผู้ลงทุน และกรอบการรายงานที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม
กิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คินดริล ประเทศไทย กล่าวว่า องค์กรธุรกิจไทยกำลังสร้างรากฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการสร้างผลกระทบด้านความยั่งยืนในระยะยาวให้แข็งแกร่ง
สำหรับโอกาสต่อไปอยู่ที่การเปลี่ยนจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแบบตั้งรับ ไปสู่แนวทางที่ผนวกความยั่งยืนเข้าไว้เป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจ
การที่องค์กรต่าง ๆ เปลี่ยนจากรูปแบบดั้งเดิมที่ทำงานแยกส่วนกัน ไปสู่แนวทางการทำงานที่มีการบูรณาการมากขึ้น พร้อมทั้งเสริมศักยภาพด้านการจัดการข้อมูลและ AI จะทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทรงพลังได้มากขึ้น
จุดเริ่มต้นการปรับใช้ AI
ผลการศึกษาชี้ว่า องค์กรไทยมีความพร้อมในการจัดลำดับความสำคัญและผนวกรวมเป้าหมายทางธุรกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
นอกจากนี้ จำนวนองค์กรที่ใช้ AI เพื่อยกระดับผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมก็มีมากขึ้น โดยหนึ่งในสองขององค์กรเหล่านี้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและสินทรัพย์ขององค์กร
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาพบว่า การนำ AI มาใช้เชิงกลยุทธ์นั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีเพียง 28% ที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนความยั่งยืน และ 57% กำลังอยู่ในขั้นทดลองและเริ่มดำเนินการ หรือกำลังพิจารณานำ Agentic AI ไปใช้ในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์
องค์กรส่วนใหญ่ระบุว่า การเก็บรวบรวมข้อมูลและคุณภาพของข้อมูลเป็นส่วนที่ต้องปรับปรุงก่อนที่จะนำแอปพลิเคชัน AI ที่ล้ำหน้ามาประยุกต์ใช้
แม้รูปแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีโอกาสอีกมากที่จะสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
วางรากฐาน – ปูทางทำเงิน
ริคาร์โด ดาวิลา ผู้จัดการทั่วไป ด้านโซลูชันพันธมิตรระดับองค์กร ไมโครซอฟท์ กล่าวว่า ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ประจำปี 2025 ชี้ให้เห็นว่า องค์กรชั้นนำมากกว่าครึ่งใช้ AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) เพื่อคาดการณ์และรับมือความท้าทายด้านความยั่งยืน มากกว่าใช้เป็นเพียงแค่ติดตามและวิเคราะห์เท่านั้น ส่งผลทำให้มีการนำข้อมูลเชิงคาดการณ์ไปเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน
หากมองถึงผลการศึกษาสำคัญขององค์กรไทยพบว่า องค์กรไทยกำลังเสริมแกร่งรากฐานให้กับความสามารถด้านความยั่งยืน: องค์กรไทยกำลังยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ โดย 57% ขององค์กรถือว่าความยั่งยืนมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์อันดับต้น ๆ
นอกจากนี้ องค์กร 32% ขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโครงการริเริ่มที่ทำอย่างสม่ำเสมอหรือดำเนินการในเชิงรุก ซึ่งบ่งชี้ว่าแม้เส้นทางเดินสู่ความยั่งยืนของประเทศไทยจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็กำลังมีพัฒนาการและคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
การตัดสินใจด้านความยั่งยืนขับเคลื่อนด้วยผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และความคุ้มค่าด้านต้นทุน: ความพยายามด้าน ESG ขององค์กรไทยมีความเชื่อมโยงอย่างยิ่งกับผลประกอบการหรือฐานะทางการเงิน โดย 65% ระบุว่า การลดต้นทุนการดำเนินงานเป็นประโยชน์สูงสุดที่ได้รับจากโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนี้ 45% ยังคาดว่าความยั่งยืนจะนำสู่นวัตกรรมและโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ และ 50% เร่งดำเนินโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมา หลังจากที่เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น, 48% ยังคงมองว่าการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นความท้าทายที่ยังต้องแก้ไข
เชื่อมโยง ‘Tech–กลยุทธ์’
การตื่นตัวสู่ AI ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green AI) ในประเทศไทย บ่งชี้เรื่องความพร้อมที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ: ความตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ AI ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 7% เป็น 42% ภายในปีเดียว
ประเทศไทยยังมีความก้าวหน้าในการใช้ความสามารถเชิงคาดการณ์ โดย 50% ขององค์กรที่ทำการศึกษา ใช้ AI เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศส่วนของความท้าทายช่องว่างด้านความพร้อมของข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง
ปัจจุบัน มีแรงผลักดันที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยข้อมูลอัจฉริยะ และองค์กรต่างตระหนักถึงคุณค่าที่จะได้รับเมื่อสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับกลยุทธ์ได้อย่างสอดคล้องกัน
เมื่อมีรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งมากขึ้น องค์กรจะสามารถใช้ประโยชน์จาก predictive AI และ agentic AI เพื่อผนวกความสามารถในการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้น เข้ากับแนวทางปฏิบัติงานด้านความยั่งยืนได้







