เน็ตแอพ ชี้ 'โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ' ขุมพลังขับเคลื่อน AI

AI ไม่ได้วัดกันที่ขนาดโมเดล เพราะท้ายที่สุดแล้ว "โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ" คือ กุญแจสำคัญที่ทำให้อนาคตดิจิทัลเกิดขึ้นจริงได้
KEY
POINTS
- "โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ" คือรากฐานใหม่ที่จะกำหนดผู้นำธุรกิจในอนาคต
- เปลี่ยนจากการสะสมข้อมูลปริมาณมากไปสู่การใช้ ปกป้อง และเคลื่อนย้ายข้อมูลอย่างชาญฉลาดเพื่อขับเคลื่อน AI
- ความสำเร็จของโครงการ AI ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของโมเดล แต่ขึ้นอยู่กับ "พื้นฐานข้อมูลที่แข็งแรง"
- โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะจะช่วยรวบรวมและบริหารจัดการข้อมูลให้พร้อมสำหรับการนำ AI ไปใช้งานจริง
- โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะเป็นกุญแจสำคัญในการผสาน 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ AI, ไฮบริดคลาวด์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตดิจิทัล
- ตอบโจทย์ด้านอธิปไตยข้อมูล (Data Sovereignty) และยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์
AI ไม่ได้วัดกันที่ขนาดโมเดล “เน็ตแอพ” เผย "โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ" คือ รากฐานใหม่ที่กำหนดผู้นำธุรกิจในปี 2026
ขณะที่ ประเทศไทยเร่งเครื่องสู่การเป็นมหาอำนาจด้านดิจิทัล โดยมีตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 32.33% และมีมูลค่าแตะ 7.31 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2031 ภูมิทัศน์ของธุรกิจระดับโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่
การสะสมข้อมูลจำนวนมหาศาลจะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จอีกต่อไป เน็ตแอพ ยักษ์เทคโลก ชี้ว่า องค์กรที่จะกลายเป็นผู้นำตลาดที่แท้จริงในอนาคต คือผู้ที่สามารถใช้ ปกป้อง และเคลื่อนย้ายข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด ผ่านรากฐานที่เรียกว่า "โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ" (Intelligent Data Infrastructure)
รายงานวิเคราะห์และคาดการณ์ของ เน็ตแอพ สำหรับปี 2026 ได้ฉายภาพการบรรจบกันของสามเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ได้แก่ AI, ไฮบริดคลาวด์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยเน้นย้ำว่า โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลไม่ใช่เพียงแค่กลไกทางเทคนิค แต่เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้อนาคตดิจิทัลเกิดขึ้นจริงได้
การพลิกผัน AI จากห้องทดลองสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจ
แม้ปัจจุบันองค์กรไทยที่นำ AI มาใช้งานจะอยู่ที่เพียง 17.8% แต่คาดว่าจะมีการเร่งตัวครั้งใหญ่เมื่อธุรกิจตระหนักถึงพลังของ Generative AI อย่างไรก็ตาม เน็ตแอพ เตือนว่า ความล้มเหลวโครงการ AI จำนวนมากไม่ได้มาจากความบกพร่องของโมเดล แต่มาจาก “พื้นฐานข้อมูลที่ไม่แข็งแรง”
การคาดการณ์สำคัญ คือ 1. AI ก้าวสู่การใช้งานเต็มสเกล (Full-Scale Adoption) องค์กรกำลังก้าวข้ามการทำโครงการนำร่องไปสู่การนำ AI ไปใช้จริงในทุกส่วนของธุรกิจ ปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในยุคถัดไปไม่ใช่การมีโมเดลที่ใหญ่ที่สุด แต่คือการมี "ข้อมูลที่รวมศูนย์ บริหารจัดการได้ และเข้าถึงได้อย่างเป็นระบบ" โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะจึงเป็นฐานสำคัญในการทำงานอัตโนมัติ ตั้งแต่การจัดสรรข้อมูลไปจนถึงการเข้าถึงข้อมูลที่พร้อมต่อการเทรนและนำ AI ไปใช้งานจริง
2.ยุคแห่ง Agentic AI สร้างผลลัพธ์จริง: คลื่นลูกใหม่ AI จะพัฒนาไปเกินกว่าการสร้างคอนเทนต์ แต่จะกลายเป็นระบบที่สามารถตัดสินใจ ลงมือทำ และเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ระบบเหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งพาการเข้าถึงข้อมูลองค์กรที่ได้รับการกำกับดูแลอย่างรัดกุมและรวดเร็ว ทั้งบนไฮบริดคลาวด์และระบบภายในองค์กร สถาปัตยกรรมข้อมูลแบบรวมศูนย์ที่ปรับขยายประสิทธิภาพได้อย่างอิสระจึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการรองรับการขยายตัวของ Agentic AI
อธิปไตยข้อมูล พลังที่ปรับโฉมโครงสร้างไอที
การขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลในไทยสอดคล้องกับความต้องการด้านอธิปไตยข้อมูล (Data Sovereignty) และบริการคลาวด์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นกำหนดให้ข้อมูลที่สร้างขึ้นในประเทศจะต้องถูกจัดเก็บและประมวลผลภายในเขตแดนเท่านั้น
การคาดการณ์สำคัญ คือ 1. การบริหารเวิร์กโหลดอย่างชาญฉลาด: องค์กรได้ก้าวพ้นยุคของการ “นำองค์กรสู่คลาวด์” ไปแล้ว และกำลังมุ่งสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ว่าเวิร์กโหลดใดควรอยู่บนระบบใดเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด (ไฮบริดและมัลติคลาวด์) แพลตฟอร์มข้อมูลแบบรวมศูนย์ จะเข้ามาช่วยในการตัดสินใจนี้ ทำให้องค์กรสามารถมองเห็นข้อมูลได้อย่างต่อเนื่องและมีการกำกับดูแลที่เป็นมาตรฐาน
2. Data Sovereignty ปรับโฉม IT: รัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้มงวดกับกฎระเบียบสถานที่จัดเก็บข้อมูล ทำให้องค์กรต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบ Local หรือ Sovereign Cloud เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลโดยไม่ขัดขวางนวัตกรรม แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะจะเข้ามาช่วยจัดการกระบวนการด้านกฎหมายและความปลอดภัยโดยอัตโนมัติ ช่วยให้ทีมงานสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างคุณค่าทางธุรกิจแทนที่จะเป็นงานด้านเอกสารและระเบียบ
ความเร็วในการกู้คืนคือมาตรฐานใหม่
ตลาดไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในไทย คาดว่า จะมีมูลค่าสูงถึง 894.04 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 สะท้อนถึงความจำเป็นในการปกป้องระบบจากภัยคุกคามที่มีความซับซ้อน ภัยคุกคามในปัจจุบันได้พัฒนาไปไกลกว่าแรนซัมแวร์แบบเดี่ยว ๆ กลายเป็นการเจาะระบบที่สร้างรายได้หลายต่อ ตั้งแต่การเรียกค่าไถ่ไปจนถึงการขายข้อมูล
การคาดการณ์สำคัญ คือ 1. ความเร็วคือกฎเหล็กใหม่ เกณฑ์มาตรฐานใหม่ด้านความยืดหยุ่นทางไซเบอร์คือ ความเร็วในการตรวจจับและกู้คืนจากการโจมตี องค์กรต้องการความสามารถในการตรวจจับการละเมิดอย่างรวดเร็ว แยกส่วนระบบที่ถูกโจมตีแบบอัตโนมัติ และที่สำคัญคือต้องสามารถกู้คืนจากข้อมูลที่ “ปลอดภัย” ได้แทบจะทันที โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะจะใช้เทคโนโลยีตรวจจับความผิดปกติและมาตรฐานการเข้ารหัสแบบ Post-Quantum Cryptography เพื่อสร้างความมั่นใจในความมั่นคงปลอดภัย
2.การกำกับดูแลกำหนดความเชื่อถือได้ของ AI เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ในทุกกระบวนการ การกำกับดูแลข้อมูลอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การควบคุมการเข้าถึง ความปลอดภัย ไปจนถึงการติดตามเส้นทางของข้อมูลตลอดวงจรชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็น โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะจะถูกพัฒนาต่อยอดเพื่อวางรากฐานการกำกับดูแลตั้งแต่ข้อมูลดิบไปจนถึงการวิเคราะห์ขั้นสูง
ผสานปัญญาในทุกระดับของข้อมูล
อรรณพ วาดิถี ผู้จัดการเน็ตแอพ ประจำประเทศไทย เน้นย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงดิจิทัลที่ยั่งยืนจำเป็นต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งก็คือ โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ
ในยุคใหม่ของผู้นำด้านดิจิทัล ปัจจัยต่างๆ เช่น AI, คลาวด์, ความมั่นคงทางไซเบอร์ และโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ จะไม่ถูกมองเป็นงานแยกส่วนอีกต่อไป แต่ต้องเดินไปด้วยกันเป็นพลังที่เชื่อมโยงกัน องค์กรที่จะเติบโตได้ในปี 2026 คือองค์กรที่ผสานเชาวน์ปัญญาไว้ในทุกระดับของโครงสร้างข้อมูล เพื่อลดความซับซ้อน สร้างความน่าเชื่อถือ และเร่งสร้างนวัตกรรม
เพราะท้ายที่สุดแล้ว "โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ" คือ กุญแจสำคัญที่ทำให้อนาคตดิจิทัลเกิดขึ้นจริงได้
โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะเปรียบเสมือนระบบประสาทส่วนกลางขององค์กร หากระบบประสาทนี้ไม่สามารถรวบรวม แยกแยะ และตอบสนองต่อข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือ แม้จะมีสมอง (AI Model) ที่ฉลาดที่สุด ก็ไม่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจและการกระทำที่มีประสิทธิภาพได้ในโลกธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว







