พลิกความลำบากสู่ความยั่งยืน (จบ)

ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แม้ปีข้างหน้าจะยังเต็มไปด้วยอุปสรรคและความไม่แน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้ กล้าลงมือทำ ให้อภัยตัวเอง และรู้จักดูแลพลังของตัวเอง โอกาสยังเปิดอยู่เสมอ
เศรษฐกิจโลกและไทยกำลังเผชิญช่วงเวลาท้าทาย การเติบโตชะลอตัวและความไม่แน่นอนยังคงเป็นแรงกดดันหลัก ข้อมูลจากสำนักพยากรณ์ทางเศรษฐกิจหลายแห่งสะท้อนภาพเดียวกันว่า
ปีนี้และปีหน้าเรายังคงเผชิญความผันผวนรุนแรง ผู้บริหารและเจ้าของกิจการจึงต้องอาศัยความอดทนและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องมากกว่าที่เคยเป็นมา
การบริหารตัวเองในวันนี้จึงไม่ใช่แค่รับมือเศรษฐกิจ แต่ต้องจัดการกับสิ่งรบกวนจากโซเชียลมีเดียเพื่อรักษา
การโฟกัสและพลังในการเดินต่อเพราะคนที่ประสบความสำเร็จจะมีข้อห้ามอยู่ไม่กี่อย่างที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้อื่น โดยข้อแรกเขามักไม่ปล่อยให้คำว่า “ทำไม่ได้” ครอบงำ และข้อสองต้องรู้จักซอยงานใหญ่เป็นขั้นเล็ก ๆ แล้วทำอย่างสม่ำเสมอ ความสำเร็จอาจไม่มาเร็ว แต่จะค่อย ๆ ก่อตัวอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ต่อกันในข้อที่สาม คืออย่าฟังเสียงที่บอกว่า “คุณทำไม่ได้หรอก” เพราะทันทีที่เราเชื่อคำพูดนั้น งานหรือโครงการนั้นก็จบลงตั้งแต่ยังไม่เริ่ม การลงมือทำอย่างน้อยยังมีโอกาสสำเร็จครึ่งหนึ่ง แต่การไม่ทำเลยคือมีโอกาสสำเร็จเป็นศูนย์
คนที่ชอบบอกว่าสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ มักเป็นคนที่ไม่เคยลอง ไม่เคยล้ม และไม่เคยทุ่มเทมากพอ เราจึงไม่จำเป็นต้องให้กรอบความคิดของคนอื่นมาขีดเส้นจำกัดชีวิตตัวเอง เพราะความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้นั้นอาจขึ้นอยู่กับความพยายามของเราเป็นหลัก
ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จที่เกิดจากการทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” มักมีมูลค่าในตัวมันเองเสมอ
ทั้งในแง่ความภูมิใจ ประสบการณ์ และความแตกต่าง เส้นทางชีวิตไม่ควรถูกควบคุมด้วยเสียงรอบข้าง แต่ควรถูกกำหนดด้วยการตัดสินใจของเราเอง เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ต้องอยู่กับผลลัพธ์ ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเรา
ข้อที่สี่ คืออย่าเคร่งครัดกับตัวเองมากเกินไป ทุกคนมีวันที่พลาด มีวันที่ไม่ถึงเป้า สิ่งสำคัญไม่ใช่การไม่ล้ม แต่คือการล้มแล้วลุกให้เร็ว อย่าหลงไปกับคำโอ้อวดว่าลงมือทำครั้งเดียวแล้วก็สำเร็จได้เลยซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะเกิดขึ้นได้ทุกวันนี้
เมื่อผิดพลาดแล้ว ก็ต้องยอมรับความผิดพลาดนั้น และการให้อภัยตัวเองก็คือการยอมรับความจริง และดึงบทเรียนออกมาจากความผิดพลาด อย่าเสียเวลาจมอยู่กับความเสียใจ หรือโทษปัจจัยภายนอกเพื่อปลอบใจตัวเองจนกลายเป็นข้ออ้าง เพราะการมองไปข้างหน้าจะทำให้เรายังเห็นโอกาสถัดไปเสมอ
ข้อสุดท้าย คือการรู้จักดูแลตัวเอง ไม่ว่าเราจะยุ่งแค่ไหน ร่างกายและจิตใจก็ต้องได้รับการดูแลเหมือนเครื่องจักรที่ต้องมีการพักและบำรุง หรือรถยนต์ที่ต้องมีเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง คนเราก็เช่นเดียวกันเมื่อถึงเวลาทำงานก็ทำให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาพักก็พักให้จริง การแยกเวลาให้ชัดจะทำให้ทั้งงานและชีวิตส่วนตัวไม่เบียดเบียนกัน
เพราะหลายคนชอบเอางานและชีวิตส่วนตัวมาปะปนกัน เช่นทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วย ผลสุดท้ายก็ทำงานได้ไม่ดี และก็เที่ยวกับครอบครัวได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นหากเราชัดเจนว่างานคืองาน เที่ยวคือเที่ยวก็จะทำให้เราทุ่มเทเวลาให้กับทั้ง 2 เรื่องได้อย่างเต็มที่
การพักจึงเป็นการเติมพลังให้กับชีวิต การเจอเพื่อนเก่า ๆ หรือได้กินข้าวกับคนที่เราใส่ใจ มักช่วยให้เราผ่อนคลายและได้พลังกลับคืนมา แม้แต่การพักผ่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการฟังเพลง นั่งนิ่ง ๆ หรือดูแลสุขภาพจะช่วยเติมพลังให้เรากลับมาลุยต่อได้อย่างมีคุณภาพเช่นกัน
ท้ายที่สุด ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แม้ปีข้างหน้าจะยังเต็มไปด้วยอุปสรรคและความไม่แน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้ กล้าลงมือทำ ให้อภัยตัวเอง และรู้จักดูแลพลังของตัวเอง โอกาสยังเปิดอยู่เสมอ
หากทำ 5 ข้อนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ ชัยชนะอาจไม่ได้มาเร็ว แต่จะมาอย่างมั่นคง และอยู่กับเราได้นานกว่าใครหลายคน







