ผ่าสงครามแข่งเดือด ‘แอปเรียกรถ’ จับตาความท้าทายครั้งใหญ่

ผ่าสงครามแข่งเดือด ‘แอปเรียกรถ’ จับตาความท้าทายครั้งใหญ่

สงครามแข่งเดือด ‘แอปเรียกรถ’ บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก ชี้ตลาดโตอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจัยเด่นหนุน ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยที่พร้อมใช้เทคโนโลยีใหม่ ขณะเดียวกัน ต้องจับตาความท้าทายครั้งใหญ่ หลังนักวิเคราะห์ชี้ อาจเปิดช่อง ‘แท็กซี่เทา’ ตบเกียร์เข้าแอปที่ระบบคัดกรองอ่อนแอ

KEY

POINTS

  • ตลาดแอปเรียกรถในไทยมีแนวโน้มเติบโตสูง คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 2.75 แสนล้านบาทในปี 2575 ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างแพลตฟอร์มต่างๆ
  • การแข่งขันที่ดุเดือดนำมาซึ่งความท้าทายด้านความปลอดภัย โดยเกิดปัญหา "แท็กซี่เทา" นอกระบบกว่า 3 แสนราย จากระบบคัดกรองประวัติอาชญากรรมของคนขับที่ไม่แข็งแรงพอ
  • ผู้โดยสารมีความเสี่ยงสูงในการเผชิญอาชญากรรม หวั่นปัญหานี้อาจรุนแรงขึ้นในช่วงเทศกาลที่มีความต้องการใช้บริการสูง

ปัจจุบัน ตลาดให้ บริการแอปเรียกรถ (Ride Hailing) ในประเทศไทย ได้รับการปักหมุดจากบริษัทวิจัยการตลาดระดับโลกหลายแห่งว่า เป็นตลาดที่เติบโตอย่างน่าจับตามอง เพราะได้ปัจจัยเด่นๆ สนับสนุนทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยที่พร้อมใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในชีวิตประจำวัน (Tech Adoption) ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล จำนวนการใช้งานสมาร์ทโฟน ความรวดเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ตลอดจนการปรับเปลี่ยนสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)

ปัจจัยบวกข้างต้น ทำให้การใช้แอปเรียกรถเป็นเรื่องง่าย ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพ ที่มีปัญหาการจราจรติดขัด โดยมีการอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ระบุว่า คนกรุงเทพ เสียเวลาอยู่กับรถติดบนถนนเฉลี่ย 64 นาทีต่อวัน

จากรายงานของ Verified Market Research (VMR) ประมาณการตลาดแอปเรียกรถ (Ride Hailing) ในประเทศไทยว่า เมื่อปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 150,400 ล้านบาท (3,400 ล้านดอลลาร์) และจะเพิ่มเป็น 275,000 ล้านบาท (3,400 ล้านดอลลาร์) ภายในปี 2575 โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 12.8% ต่อเนื่องตลอด 7 ปีข้างหน้า นับเป็นตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Dynamic)

โดยปี 2567 มีจำนวนรถรับจ้างผ่านแอปแบบถูกกฎหมายที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกแล้วมากกว่า 150,000 คัน

ทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าว สอดคล้องกับรายงานล่าสุดของ Oliver Wyman Mobility Forum ที่คาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 อุตสาหกรรมการเดินทางร่วมกัน (Shared Mobility) จะสร้างโอกาสทางรายได้ให้ผู้ขับขี่ถึง 16 ล้านคนทั่วโลก โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย และเมื่อโฟกัสที่บริการแอปเรียกรถ (Ride Hailing) ปัจจุบันในไทยมีผู้ขับขี่มากกว่า 500,000 คน

ตลาดโต แข่งดุ เปิดช่องโหว่แท็กซี่เทา

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนตัวเลขที่มีการจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกที่มีกว่า 150,000 คัน และตัวเลขจากการสำรวจของบริษัทวิจัยการตลาดระดับโลก จะเห็นว่ามีตัวเลขที่ยังหลุดออกจาก “แท็กซี่(แอป)ถูกกฎหมาย” ถึงกว่า 300,000 คัน ก่อให้เกิดคำถามถึงความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีประจักษ์พยานหลายคดีผ่านสื่อ ที่ผู้โดยสารกลายเป็นเหยื่ออาชญากรรม แค่เพราะเรียกแอปเรียกรถผิดคัน ทำให้ต้องไปเจอกับแท็กซี่เทา หรือโจรในคราบคนขับ

ทั้งนี้ ศักยภาพในการเติบโตของตลาดไทย ทำให้เป็น “เค้ก” ชิ้นใหญ่ของแพลตฟอร์มแอปเรียกรถทั้งที่มาจากต่างประเทศ และแอปของไทย แต่ละค่ายจึงเร่งเป้าหมายการเพิ่มจำนวนคนขับ หรือที่เรียกว่าพาร์ทเนอร์ เพราะยิ่งมีคนขับในระบบมาก ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้า จึงเห็นได้ว่าแอปเรียกรถมีแคมเปญทั้งสำหรับคนขับและผู้โดยสารอยู่เป็นระยะๆ

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันอย่างดุเดือดเพิ่มขึ้น กลายเป็น “ช่องโหว่” สำคัญด้านความปลอดภัยของผู้โดยสาร เพราะบางแอปเรียกรถ ละเลยขั้นตอน “การคัดกรองประวัติอาชญากรรม” ของคนขับที่ลงทะเบียนเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ที่ผู้ใช้บริการเผชิญภัยเสี่ยงอยู่ทุกวันนี้ ก็คือ มีกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่-รถยนต์รับจ้าง ที่อ้างถึงภาระค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการนำรถไปจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้บริการผ่านแอปเรียกรถได้อย่างถูกกฎหมาย รวมถึงบางกลุ่มที่มีประวัติอาชญากรรม จึง “ไม่ไปด้วย” กับการปฏิบัติตามแนวทางที่ควบคุมโดยกฎหมาย แต่ใช้ช่องโหว่ของบางแพลตฟอร์ม ไม่ได้คัดกรองหรือความเข้มงวด เข้าไปแฝงตัวให้บริการอยู่ในนั้น ทำให้เริ่มเกิดปัญหา แท็กซี่เทาในตลาดแอปเรียกรถ

เรียกรถผ่านแอป (ช่วงเทศกาล) ความเสี่ยงจากแท็กซี่เทา?

ทั้งนี้ ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเห็นความนิยมใช้บริการเรียกรถผ่านแอปเติบโตอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีข่าวผ่านสื่อหลายกรณี ที่ผู้โดยสารต้องกลายเป็น “เหยื่อการถูกคุกคามทางเพศ” จากแท็กซี่เทาในบางแอปเรียกรถ โดยเฉพาะผู้โดยสารที่เป็นหญิงสาวที่ที่เรียกใช้บริการเพื่อกลับบ้านหลังเลิกงานดึก หรือกลับจากปาร์ตี้ และหลายครั้ง เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลในแอปพลิเคชัน ก็พบว่าข้อมูลคนขับไม่ตรงกับบัญชีที่ใช้ในแอป ทำให้คาดว่าคนขับเหล่านั้น อาจใช้บัญชีของคนอื่นเพื่อวิ่งงาน  หรือบางครั้งเมื่อตำรวจสืบประวัติย้อนหลังก็พบประวัติอาชญากรรมหลายคดี ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ใช้บริการ เพราะไม่รู้ว่า กดแอปเรียกรถไปแล้วจะได้แท็กซี่ถูกกฎหมาย หรือแท็กซี่เทา

ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นหลายครั้งหลายคดี แต่กลับไม่เห็นภาพการแก้ไขที่ตรงจุดและเป็นรูปธรรม ทั้งจากฝ่ายผู้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบริษัทที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มให้บริการแอปที่มักมีชื่อปรากฎในข่าวคดีเหล่านี้ จะเห็นเพียงความเคลื่อนไหวแค่การเอาชื่อผู้ก่อเหตุออกจากระบบ

ขณะที่ ยิ่งเมื่อใกล้ช่วงเทศกาล ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีปริมาณการเรียกรถผ่านแอปพุ่งสูงกว่าปกติ จึงเกิดคำถามว่า ผู้โดยสารจะยิ่งมี “ความเสี่ยง” เพิ่มขึ้นหรือไม่ ที่จะกดเรียกไปเจอแท็กซี่เทา และจะถามหาความรับผิดชอบ หรือการเยียวยาได้จากใครหรือหน่วยงานใด

ทั้งนี้ มีข้อมูลจากแพลตฟอร์มแอปเรียกรถเบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย เมื่อปลายปี 2567 ระบุว่า จากตัวเลขที่รวบรวมอย่างต่อเนื่องหลายปีที่เปิดให้บริการในประเทศไทย พบว่าช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม จะมียอดการเรียกใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่าช่วงปกติกว่า 50% เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลและการสังสรรค์ การเรียกรถผ่านแอปจึงสะดวกสบายสำหรับสายปาร์ตี้ หรือสายดื่มที่ไม่ต้องการขับรถเอง 

ดังนั้น ความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสาร จึงเป็นประเด็นที่บริษัทให้ความสำคัญ พร้อมจัดแคมเปญพิเศษเพิ่มความมั่นใจในการเดินทางที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้บริการเพราะตระหนักว่า “ผู้โดยสารต้องการคนขับที่ไว้ใจได้ ช่วยขับรถ”