'ไมโครซอฟท์' เปิด 7 เทรนด์เทคโนโลยี 'AI' พลิกโลก ปี 2569

“ไมโครซอฟท์” เผย 7 เทรนด์ AI ปี 2569 วันที่ AI เข้ามามีบทบาทจริงในการปลดล็อกข้อจำกัดและสร้างโอกาสใหม่ๆ อย่างมหาศาล
KEY
POINTS
- AI จะเปลี่ยนบทบาทเป็น "คู่คิด" หรือเพื่อนร่วมงานดิจิทัล (AI Agent)
- ช่วยเสริมศักยภาพการทำงานของมนุษย์ แต่ก็มาพร้อมกับความจำเป็นในการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยใหม่
- AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ เร่งการค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ
- โครงสร้างพื้นฐาน AI จะฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- AI จะสามารถเข้าใจบริบทของโค้ดคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยนักพัฒนาซอฟต์แวร์
- ความก้าวหน้าในการประมวลผลควอนตัมจะถูกเร่งให้เร็วขึ้นเมื่อผสานเข้ากับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ นำไปสู่ความสามารถในการแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปทำไม่ได้
"ไมโครซอฟท์" เผย 7 เทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ปี 2569 ก้าวสู่ยุคใหม่ที่มุ่งสร้างผลลัพธ์จริงในโลกธุรกิจและชีวิตประจำวัน
AI จะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเครื่องมือไปสู่การเป็น "คู่คิด" ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างใกล้ชิด ยกระดับขีดความสามารถในการทำงาน การสร้างสรรค์ และการแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาด
จากเพียงการตอบคำถามยกระดับไปสู่การผสานการทำงานและเสริมแกร่งศักยภาพให้กับทุกคน ในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงควอนตัมคอมพิวติ้ง ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าครั้งสำคัญยิ่งกว่าที่เคยมีมา
ยิ่งไปกว่านั้น AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพยากรณ์สภาพอากาศและเตือนภัยน้ำท่วมล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ และการลดคาร์บอนฟุตพรินท์ ซึ่งล้วนเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ปลดล็อกข้อจำกัด – สร้างโอกาสใหม่
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และตลาดใหม่ กล่าวว่า ในปี 2569 จะเห็น AI เข้ามามีบทบาทจริงในการปลดล็อกข้อจำกัดและสร้างโอกาสใหม่ๆ อย่างมหาศาล เป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ
โดยหนึ่งในเรื่องที่สำคัญคือความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ การรับมือภัยพิบัติ รวมถึงการพัฒนา AI เพื่อความยั่งยืน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า AI จะช่วยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความรับผิดชอบและสร้างผลกระทบเชิงบวกที่เป็นประโยชน์กับทุกคนได้อย่างแท้จริง
ไมโครซอฟท์เชื่อมั่นว่าการมาถึงของ AI ในบทบาท "คู่คิด" จะเป็นพลังสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของผู้คนและองค์กร ส่งเสริมการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แก้ไขปัญหาที่ท้าทาย และสร้างโอกาสในการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
การผสานรวม AI เข้ากับการทำงานและชีวิตประจำวันอย่างชาญฉลาดและมีความรับผิดชอบ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่ในอนาคต
เติมศักยภาพ 'มนุษย์'
สำหรับ 7 เทรนด์ ที่จะพลิกโฉมโลกการทำงานระหว่างมนุษย์และ AI ได้แก่
1. AI จะเสริมสร้างสิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น : AI Agent จะเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงานดิจิทัลที่ช่วยเสริมศักยภาพ ช่วยให้บุคคลและทีมขนาดเล็กสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเหนือความคาดหมาย
โดย AI จะเข้ามาช่วยจัดการข้อมูล การสร้างคอนเทนต์ และปรับแต่งให้เหมาะสม ขณะที่มนุษย์ยังคงเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์
2. AI Agent จะมาพร้อมมาตรฐานการป้องกันใหม่เมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน : การเพิ่มขึ้นของ AI Agent ในบทบาทของ "เพื่อนรวมทีม" ทำให้ความปลอดภัยเป็นสิ่งทีจำเป็นมากยิ่งขึ้น ทั้งการกำหนดตัวตนที่ชัดเจนของ AI Agent การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลและระบบ การจัดการข้อมูลที่สร้างขึ้น และการป้องกันการโจมตี
เรียกได้ว่าทุก AI Agent ควรมีมาตรการป้องกันความปลอดภัยเช่นเดียวกับมนุษย์ โดยความปลอดภัยจะต้องเป็นระบบอัตโนมัติที่ฝังอยู่ในกระบวนการ และทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาภายหลัง
3. AI จะช่วยลดช่องว่างด้านสุขภาพทั่วโลก : AI ในวงการแพทย์จะเปลี่ยนบทบาทจากการวินิจฉัยไปสู่การคัดกรองอาการและการวางแผนการรักษาเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก
ตัวอย่างเช่นBioEmu-1ที่ช่วยคาดการณ์ความเสถียรของโปรตีนเพื่อพัฒนายาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือRAD-DINOที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ ทำให้แพทย์ได้รับข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้นภายในเวลาอันสั้น และFCDDซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ช่วยปรับปรุงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้นโดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น ช่วยลดอัตราการแจ้งผลลวงและเพิ่มความแม่นยำในการระบุตำแหน่งเนื้องอก
หัวใจสำคัญกระบวน 'การวิจัย'
4. AI จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการวิจัย : นอกจาก AI จะช่วยสรุปงานวิจัยหรือตอบคำถาม ยังจะสามารถเข้าร่วมในกระบวนการค้นพบทางฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยาได้อีกด้วย โดยจะมีประสิทธิภาพในการสร้างสมมติฐาน การใช้งานเครื่องมือและแอปพลิเคชันเพื่อควบคุมการทดลอง ตลอดจนทำงานร่วมกับนักวิจัยทั้งที่เป็นมนุษย์และ AI ด้วยกันเอง
ตัวอย่างเช่น MatterGen และ MatterSimเครื่องมือ AI ที่ช่วยเร่งการค้นพบวัสดุใหม่ๆ ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าเดิมหลายเท่า รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น วัสดุสำหรับการดักจับคาร์บอน หรือแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงสำหรับพลังงานสะอาด
หรือ Auroraโมเดล AI ของไมโครซอฟท์ที่คาดการณ์สภาพอากาศและเหตุการณ์ทางสิ่งแวดล้อมได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพยากรณ์น้ำท่วม และการช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
5. โครงสร้างพื้นฐาน AI จะชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น : การเติบโตของ AI จะไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนของดาต้าเซ็นเตอร์อีกต่อไป แต่จะเน้นการใช้พลังประมวลผลให้คุ้มค่าที่สุด ด้วยระบบ AI ที่มีความยืดหยุ่นและกระจายตัวทั่วโลก
ที่เรียกว่าโรงงานผลิต AI อัจฉริยะ หรือ “superfactories” ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้Analog Optical Computer (AOC)ซึ่งใช้แสงแทนอิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัล แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเร่งการใช้เหตุผลของ AI และการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนด้วยพลังงานที่น้อยกว่าและรวดเร็วกว่า GPU ในปัจจุบัน
ยุคใหม่โลก 'การประมวลผล'
6. AI กำลังเรียนรู้ภาษาของโค้ดและบริบทเบื้องหลัง : ปี 2569 จะนำมาซึ่ง “Repository Intelligence” ซึ่งหมายถึง AI ที่ไม่เพียงเข้าใจบรรทัดของโค้ด แต่ยังเข้าใจความสัมพันธ์และประวัติเบื้องหลัง จึงสามารถให้คำแนะนำได้อย่างชาญฉลาด ตรวจจับข้อผิดพลาดได้เร็วขึ้น รวมถึงแก้ไขปัญหาที่พบเป็นประจำได้โดยอัตโนมัติ
7. ความก้าวหน้าในการประมวลผล : ควอนตัมคอมพิวติ้งกำลังเข้าสู่ยุคที่การพัฒนาจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่ปีแทนที่จะเป็นหลายทศวรรษ สืบเนื่องจากการมาถึงของ Hybrid Computing ที่ผสานควอนตัมเข้ากับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์
นำไปสู่ “Quantum Advantage” หรือความสามารถในการแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์คลาสสิกทำไม่ได้ อย่าง Majorana 1ของไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นชิปควอนตัมตัวแรกที่ขับเคลื่อนด้วย Topological Qubits ซึ่งช่วยให้คิวบิตมีความเสถียรมากกว่าคิวบิตแบบดั้งเดิม







