จากซอฟต์แวร์สู่เก้าอี้ผู้บริหาร บิ๊กเทคเริ่มพูดจริงจังว่า AI อาจเป็นซีอีโอคนต่อไป

ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์เริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ที่เอไอจะสามารถทำงานในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด (CEO) ได้จริง
KEY
POINTS
- ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์เริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ที่เอไอจะสามารถทำงานในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด (CEO) ได้จริง
- ความเห็นแบ่งเป็นสองฝ่าย โดยกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า เอไอมีศักยภาพเป็นซีอีโอได้ ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าการตัดสินใจที่ซับซ้อนยังต้องอาศัยมนุษย์เป็นหลัก
- งานวิจัยในปัจจุบันยังชี้ให้เห็นข้อจำกัดของเอไอในการตัดสินใจเชิงบริหารที่ต้องต่อเนื่องในระยะยาวและในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
กระแสเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ถูกพูดถึงมานานในแง่ที่มันจะเข้ามาแทนที่งานจำนวนมาก ทั้งงานพิมพ์เอกสาร บริการลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้แต่แรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต แต่บทสนทนาในปี 2568 กำลังขยับไปไกลกว่านั้น ตำแหน่งที่ถูกเอ่ยถึงในตอนนี้ ไม่ใช่งานระดับปฏิบัติการ แต่คือ “ผู้บริหารสูงสุด” ที่เดิมทีถือเป็นพื้นที่อำนาจของมนุษย์โดยแท้
บทความของเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล เรื่อง AI’s Next Challenge: Take the CEO’s Job ชี้ว่า ผู้บริหารในซิลิคอนวัลเลย์กำลังพูดถึงความเป็นไปได้ที่เอไอจะทำงานในระดับผู้บริหารสูงสุดได้จริง โดยเฉพาะในงานตัดสินใจเชิงโครงสร้างและการบริหารหน่วยธุรกิจ ซึ่งเป็นแนวคิดที่เริ่มกลายเป็นกระแสหลักในหมู่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ซิลิคอนวัลเลย์: “งานซีอีโออาจเป็นหนึ่งในงานที่ง่ายสำหรับเอไอ”
ซุนดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอัลฟาเบต บริษัทแม่ของกูเกิล ซึ่งกล่าวถึง “งานซีอีโอ” ในฐานะงานที่อาจถูกระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาทำแทนได้ในบางมิติของการบริหารองค์กร
พิชัยกล่าวกับบีบีซีว่า “งานที่ซีอีโอทำ อาจเป็นหนึ่งในงานที่ง่ายสำหรับเอไอ” โดยให้เหตุผลว่า ระบบปัญญาประดิษฐ์สมัยใหม่ โดยเฉพาะโมเดลภาษาขนาดใหญ่ สามารถประมวลผลข้อมูลเชิงปริมาณจำนวนมาก วิเคราะห์ตัวเลข และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการตัดสินใจระดับผู้บริหารในปัจจุบัน
คำกล่าวดังกล่าวของพิชัยสัมพันธ์กับความสามารถของเอไอที่พัฒนาเร็ว ทำให้หลายงานในระดับบริหาร รวมถึงการอ่านรายงาน การวิเคราะห์กรณีศึกษา และการประเมินแนวโน้มทางธุรกิจ เริ่มเป็นงานที่ระบบสามารถทำได้ในระดับที่ใกล้เคียงผู้เชี่ยวชาญ มากกว่าจะเป็นงานที่ต้องใช้สัญชาตญาณของผู้นำแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว
ขณะเดียวกัน แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ประธานกรรมการบริหารของโอเพนเอไอ กล่าวว่า “ผมคงต้องรู้สึกแย่ หากโอเพนเอไอไม่ใช่บริษัทใหญ่รายแรกที่มีเอไอเป็นซีอีโอ”
อัลท์แมนให้เหตุผลว่า ปัญญาประดิษฐ์กำลังก้าวสู่จุดที่สามารถบริหารหน่วยธุรกิจหนึ่งได้เป็นระบบ และในระยะต่อไป อาจบริหารทั้งบริษัทได้โดยไม่ต้องมีมนุษย์คอยกำกับใกล้ชิด เขามองว่าสิ่งที่ท้าทายนั้นไม่ใช่ความสามารถของเทคโนโลยี แต่คือสังคมที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะยอมรับผู้นำที่ไม่ใช้ร่างกายมนุษย์
80% ของงานบนโลกอาจหายไป
สจวร์ต รัสเซลล์ (Stuart Russell) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ผู้เป็นหนึ่งในนักวิจัยปัญญาประดิษฐ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก และผู้เขียนร่วมตำรา Artificial Intelligence: A Modern Approach ซึ่งถือเป็นหนังสือด้านเอไอที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุดในโลก เปิดเผยว่า เขาใช้เวลาทำงานสัปดาห์ละเกือบ 100 ชั่วโมงเพื่อพยายามป้องกัน “วิกฤติทางประวัติศาสตร์” ที่เขาเชื่อว่ากำลังจะเกิดขึ้น นั่นคือ อนาคตที่ประชากรเกือบทั้งโลกอาจไม่มีงานทำ โดยเตือนว่า แรงกระแทกทางเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึงนั้นใหญ่กว่าที่รัฐบาลทั่วโลกประเมินไว้มาก
“เอไอกำลังทำแทบทุกอย่างที่เรานิยามว่าเป็นงานในตอนนี้ และครอบคลุมถึงหลายสาขาที่เคยเชื่อกันว่าปลอดภัยจากการถูกทดแทน” รัสเซลล์กล่าว และมองว่า หากแนวโน้มปัจจุบันเดินหน้าต่อเนื่อง สายอาชีพตั้งแต่การขับรถ โลจิสติกส์ บัญชี วิศวกรรมซอฟต์แวร์ ไปจนถึงแพทย์ ล้วนเสี่ยงถูกกลืนโดยระบบอัตโนมัติยุคใหม่
รัสเซลล์ชี้ว่า ความเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่หยุดที่แรงงานทั่วไป แต่จะไหลขึ้นไปถึงระดับผู้บริหารด้วย เขากล่าวว่า “ลองนึกถึงซีอีโอที่คณะกรรมการบริษัทบอกว่า ถ้าคุณไม่ยอมให้ระบบเอไอตัดสินใจแทน คุณอาจต้องถูกปลด เพราะคู่แข่งทุกเจ้าใช้ซีอีโอเอไอแล้วทำผลประกอบการดีกว่า”
ปัญญาประดิษฐ์เก่งในระยะสั้น แต่ยังล้มลุกในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม แม้แนวคิดผู้บริหารปัญญาประดิษฐ์จะถูกพูดถึงมากขึ้นในแวดวงบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แต่ข้อมูลเชิงวิจัยในปัจจุบันยังสะท้อนว่า ระบบเหล่านี้มีข้อจำกัด
กลุ่มผู้ก่อตั้ง แอนดอน แล็บส์ (Andon Labs) ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิจัยด้านเอไอได้พัฒนาแบบทดสอบที่เรียกว่า Vending-Bench เพื่อตรวจสอบว่าเอไอสามารถบริหารกิจการที่ต้องตัดสินใจต่อเนื่องยาวนานได้จริงหรือไม่
พวกเขาจำลองการบริหารธุรกิจตู้ขายสินค้าอัตโนมัติที่ต้องทำงานหลายมิติพร้อมกัน ตั้งแต่จัดการสต็อกสินค้า ประสานงานกับผู้ผลิต ไปจนถึงวิเคราะห์ยอดขายและวางแผนผลกำไรในช่วงยาว ข้อมูลจากการทดลองชี้ว่า แม้เอไอจำนวนมากจะเริ่มต้นงานได้ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลงานมักแผ่วลงและเริ่มผิดพลาด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ข้อมูลเปลี่ยนตลอดเวลาและไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้อย่างแน่นอนเหมือนโจทย์คณิตศาสตร์
ข้อจำกัดนี้ ทำให้แนวคิดผู้บริหารปัญญาประดิษฐ์ ยังไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นทันที แต่ในอีกด้านหนึ่ง การทดลองดังกล่าวกลับทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ เพราะหากเอไอรักษาความสม่ำเสมอของการตัดสินใจในช่วงยาวได้ในอนาคต โครงสร้างการบริหารองค์กรอาจเปลี่ยนแปลงไป
ต้นทุนการสร้างเอไอกลายเป็นภาระมหาศาล บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั้งกูเกิล โอเพนเอไอ และเอ็กซ์เอไอ ต่างทุ่มเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อหวังผลลัพธ์พลิกโฉมอุตสาหกรรม
มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ประเมินว่า การลงทุนรวมของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในด้านเอไออาจสูงเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2571 ดังนั้น หากต้องการคืนทุนจากตัวเลขมหาศาลเช่นนี้ พัฒนาการของเอไอคงต้องไปไกลกว่าการบริหารตู้ขายสินค้าอย่างแน่นอน
แม้จะมีความกังวลหากกระแสเอไอพลิกกลับจากเฟสขาขึ้น สู่ “ภาวะฟองสบู่แตก” นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงตอบรับการลงทุนขนาดใหญ่เหล่านี้ด้วยความคาดหวังว่าเอไอจะเปลี่ยนอุตสาหกรรมเดิม และสร้างผู้ชนะรายใหม่ในตลาดโลก
ความเป็นผู้นำยังต้องการมนุษย์
สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ประธานกรรมการบริหารบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสำคัญของโอเพนเอไอ ถูกถามโดย มัทธีอัส เดิพฟ์เนอร์ (Mathias Döpfner) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอักเซล สปริงเกอร์ (Axel Springer) ว่า เอไอจะเข้ามาบริหารบริษัทแทนมนุษย์หรือไม่
นาเดลลา ตอบว่า “สำหรับผม มันยังดูห่างไกลเกินไป” พร้อมเสริมว่า “อีก 5 ปี หรือ 10 ปีจากนี้ เราจะเห็นระดับของระบบอัตโนมัติที่น่าทึ่งมาก แต่ก็ยังมีมนุษย์อยู่ในกระบวนการเหล่านี้”
ท่าทีของนาเดลลาจึงเหมือนเสียงเบรกท่ามกลางกระแสในซิลิคอนวัลเลย์ที่ผลักดันแนวคิดองค์กรที่มีเอไอเป็นผู้บริหาร เขายืนยันว่า ความเป็นผู้นำไม่ใช่เพียงการคำนวณ แต่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะเชิงมนุษย์ที่ซับซ้อนเกินกว่าจะยกให้ปัญญาประดิษฐ์จัดการทั้งหมด
อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เคยแสดงภาพอนาคตในลักษณะนั้นเช่นกัน มหาเศรษฐีผู้นี้อยู่เบื้องหลังทั้งเอ็กซ์เอไอ เทสลา และกิจการอื่นๆ มักกล่าวถึงภาพอนาคตที่เอไอจะมีอำนาจเหนือมนุษย์
ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเทสลาเดือนพฤศจิกายน เขาให้ความเห็นว่า “หากเอไอมีความฉลาดเกินมนุษย์รวมกัน มันก็ยากจะจินตนาการว่ามนุษย์จะเป็นผู้ควบคุมอะไรได้ ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือ ทำให้เอไอเป็นมิตร” แนวคิดนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเขาที่ผลักดันให้เทสลากลายเป็นบริษัทหุ่นยนต์
มัสก์มักอธิบายว่า เมื่อเทคโนโลยีฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และงานหนักแทบทุกอย่างสามารถอัตโนมัติได้ มนุษย์อาจไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อยังชีพเหมือนระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน เขาเรียกภาพนี้ว่า สังคมนิยมฉบับไซไฟ ซึ่งหมายถึงระบบที่ปัจจัยพื้นฐานของชีวิตถูกผลิตโดยหุ่นยนต์และเอไอทำให้มนุษย์มีเสรีภาพมากกว่าที่เคย
ในบริบทนี้ เขาจึงเปรียบเทียบว่า โลกอนาคตอาจเหมือนการ “ปลูกผักเองหรือไม่ปลูกก็ได้” หากปลูกเองก็เพราะรัก ไม่ใช่เพราะต้องทำเพื่อความอยู่รอด ผู้คนที่เลือกทำงานบางอย่างก็เพราะงานนั้นให้ความสุข ไม่ใช่จากความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
มุมมองนี้สะท้อนความคิดของมัสก์ที่เชื่อว่า เมื่อภาระการผลิตทั้งหมดถูกยกให้เอไอทำ มนุษย์จะเข้าสู่สังคมที่งานกลายเป็นกิจกรรมสมัครใจ
บทความของเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล จึงทิ้งท้ายด้วยภาพเชิงเสียดสีว่า หากวันหนึ่งเทคโนโลยีมาถึงจุดที่มัสก์คาดการณ์จริง โลกอาจได้เห็นเขาวางมือจากอาณาจักรธุรกิจทั้งหมด แล้วหันไปทำสวนอย่างสงบเสงี่ยมตามแบบที่เขายกตัวอย่างไว้
อ้างอิง: The Wall Street Journal, Business Insider และ BBC







