เทคโนโลยียืนยันความเป็นมนุษย์: ทางเลือกเชิงนโยบาย กับโอกาสที่ไทยอาจพลาดในยุค AI

ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการทรานส์ฟอร์มสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการหารือด้านนโยบายที่ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการแลกเปลี่ยนมุมมองจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน
เทคโนโลยี "ยืนยันความเป็นมนุษย์" หรือ proof-of-human รวมถึง "เทคโนโลยีการถ่ายภาพม่านตา" ที่ควรเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านความปลอดภัยออนไลน์ กลับกลายเป็นประเด็นอ่อนไหว ถูกจับตาอย่างเข้มข้น และเต็มไปด้วยความกังวล ความไม่ไว้วางใจ และความไม่เข้าใจ
โดยเฉพาะประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและการปฏิบัติตาม PDPA ซึ่งบางครั้งข้อมูลที่เผยแพร่สู่สาธารณะมีความชัดเจนและเชิงเทคนิคที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดการถกเถียงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางกำกับดูแลเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า: ประเทศไทยกำลังเสี่ยงต่อการเสียความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีนี้ในอนาคต เพียงเพราะการพูดคุยและทำความเข้าใจในวงกว้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่?
แล้วประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร โดยไม่สูญเสียโอกาสในอนาคต?
อาชญากรรมออนไลน์พุ่ง-AI ปลอมตัวได้แนบเนียน
โลกดิจิทัลกำลังเดินหน้าเร็วกว่าเดิม อาชญากรรมออนไลน์ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็น AI-generated identity, deepfake หรือ bot อัตโนมัติที่ปลอมแปลงความเป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน ส่งผลให้ phishing, หลอกโอนเงิน, รีวิวปลอม และการปลอมตัวทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นทุกปี
หลายประเทศจึงเริ่มมองว่า "การยืนยันความเป็นมนุษย์" ไม่ใช่เทคโนโลยีเสริม แต่เป็น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลชั้นใหม่ (digital infrastructure layer) ที่มีความจำเป็นไม่ต่างจาก e-KYC ในภาคการเงิน
แต่ในไทย มุมมองต่อเทคโนโลยีนี้ยังเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ตั้งแต่การถ่ายภาพม่านตาไปจนถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล
การถ่ายภาพม่านตาอันตรายจริงหรือ?
ในเชิงเทคนิค การถ่ายภาพม่านตาเป็นเพียง การอ่านลายม่านตาเพื่อสร้างรหัสตัวเลขที่ไม่สามารถย้อนกลับเป็นภาพต้นฉบับได้ ไม่ได้มีการจัดเก็บภาพ และไม่สามารถนำไปใช้เพื่อติดตามหรือระบุตัวบุคคลได้
หลายประเทศจัดเทคโนโลยีนี้ไว้ในหมวด "privacy-preserving biometrics" เพราะออกแบบมาเพื่อยืนยันว่า "คุณคือตัวจริง" โดยไม่ต้องรู้ว่า "คุณคือใคร"
ผู้ให้บริการ proof-of-human ใช้สถาปัตยกรรมด้านความเป็นส่วนตัว เช่น zero-knowledge proofs หรือการยืนยันตัวตนโดยไม่เปิดเผยข้อมูลต้นทาง ทำให้ข้อมูลสำคัญไม่เชื่อมโยงกับชื่อ เบอร์โทร หรือบัตรประชาชน
รายงานอย่าง Bad Bot 2025 Report และข้อมูลจาก SEAPPI ระบุว่า ระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ (human verification) และกลไกการยืนยันตัวตนผ่านข้อมูลชีวมิติ (biometric-based systems) มีศักยภาพในการลดกิจกรรมของบอท ลดการกว้านซื้อตั๋วในช่วงพรีเซล จำกัดการสร้างรีวิวปลอม และลดจำนวนบัญชีที่สร้างความปั่นป่วนบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งช่วยเสริมความโปร่งใสและความปลอดภัยในระบบออนไลน์โดยรวม
ในโลกที่ AI สามารถ "สวมรอยเป็นมนุษย์" ได้แนบเนียนยิ่งขึ้นในทุกวัน เทคโนโลยีในกลุ่มนี้กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล
หากประเทศไทยยังปล่อยให้ช่องโหว่เหล่านี้คงอยู่ ประเทศอาจเผชิญความเสี่ยงที่ทวีความรุนแรงขึ้น ตั้งแต่การใช้ดีพเฟกเพื่อทำธุรกรรมทุจริต ไปจนถึงการโจมตีระบบ e-government ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
"ความสมดุล" คือกุญแจ ปกป้องข้อมูลโดยไม่ปิดกั้นนวัตกรรม
เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การพิจารณาเทคโนโลยียืนยันความเป็นมนุษย์จำเป็นต้องตั้งอยู่บนข้อมูลรอบด้าน ทดสอบในสนามจริง ตรวจสอบความปลอดภัยเชิงเทคนิค ประเมินผลกระทบครบทุกมิติ และเปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างโปร่งใส
การสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการสนับสนุนนวัตกรรม เป็นความท้าทายที่ประเทศต่างๆ เผชิญ การประเมินเทคโนโลยีใหม่ด้วยข้อมูลครบถ้วน การตรวจสอบอย่างรอบคอบ และการมีมาตรการป้องกันอย่างโปร่งใส จะช่วยให้ทั้งความเป็นส่วนตัวและความก้าวหน้าดำเนินไปพร้อมกัน
สิ่งสำคัญคือ การออกแบบกรอบการกำกับดูแลที่สร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณะ ขณะเดียวกันยังเปิดทางให้นวัตกรรมพัฒนาได้อย่างรับผิดชอบ หากกรอบการกำกับดูแลเข้มเกินไป ไทยมีความเสี่ยงที่จะเสียความสามารถในการแข่งขัน
ท้ายที่สุด สิ่งที่ไทยไม่ควรสูญเสียคือ ศักยภาพด้านเทคโนโลยี เพียงเพราะความกลัวที่ยังไม่ได้รับคำอธิบายอย่างรอบด้าน







