'ดีอี' เข้มกฎเหล็ก 'อีคอมเมิร์ซ' เอ็ตด้า-กขค.ปิดช่องยักษ์ใหญ่ 'ผูกขาด'

'ดีอี' เข้มกฎเหล็ก 'อีคอมเมิร์ซ' เอ็ตด้า-กขค.ปิดช่องยักษ์ใหญ่ 'ผูกขาด'

ดีอีส่งสัญญาณ “ยุคกฎเหล็กแพลตฟอร์มดิจิทัล” จับตานับถอยหลังประกาศใหม่ของ ETDA และ กขค. ชี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อโครงสร้างการแข่งขันอีคอมเมิร์ซไทย หลัง TikTok โตแรงจนกระทบดุลอำนาจตลาด รัฐลั่นต้องคืนสิทธิ “เลือกขนส่ง” ให้ผู้บริโภค–ร้านค้า พร้อมคุมเข้มสแกมและค้ามืดออนไลน์

KEY

POINTS

  • กระทรวงดีอี กำลังหารือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง TikTok เพื่อแก้ปัญหาความเสี่ยงในการผูกขาดตลาด โดยเฉพาะการจำกัดตัวเลือกผู้ให้บริการขนส่ง
  • ETDA) และบอร์ดกขค.กำลังเตรียมออกกฎหมายใหม่ 2 ฉบับ เพื่อควบคุมแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างเข้มงวด คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ราวต้นปี 2569
  • กฎหมายใหม่จะกำหนดให้ TikTok อยู่ภายใต้กรอบเดียวกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่โซเชียลคอมเมิร์ซ เพื่อปิดช่องโหว่
  • ประเด็นสำคัญของกฎใหม่คือการคืนสิทธิ์ให้ร้านค้าและผู้บริโภคสามารถเลือกผู้ให้บริการขนส่งได้เอง โดยแพลตฟอร์มต้องแสดงตัวเลือกอย่างน้อย 3-5 ราย
  • เป้าหมายของภาครัฐไม่ใช่การชะลอการเติบโตของแพลตฟอร์ม แต่เพื่อสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม ป้องกันการผูกขาด และปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยและผู้บริโภคในระยะยาว

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ TikTok ในไทยกำลังก่อแรงสั่นสะเทือนสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจำนวนผู้ใช้งานแตะ 56 ล้านบัญชี ขึ้นเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมอันดับ 3 ของประเทศรองจาก Facebook (58 ล้านบัญชี) และ LINE (56 ล้านบัญชี) ขณะที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของ TikTok Shop ไต่ขึ้นมาเป็นผู้เล่นเบอร์ 2 แซง Lazada 

และตามผลสำรวจของ Milieu Insight ที่จัดอันดับ ดังนี้ Shopee 89% TikTok Shop 71% และ Lazada 66% ส่งผลให้ TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์ม “คอนเทนต์-คอมเมิร์ซ” ที่ทรงอิทธิพลรวดเร็วที่สุดในรอบหลายปี

โตเร็วได้-แต่ต้องไม่เสี่ยงผูกขาด

นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ระบุชัดว่า กระทรวงกำลังหารือกับผู้บริหาร TikTok อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การเติบโตของแพลตฟอร์มเป็นไปอย่างรับผิดชอบต่อการแข่งขันในประเทศ โดยยังพบโครงสร้างที่มีความเสี่ยงต่อการผูกขาด เช่น ระบบเลือกผู้ให้บริการขนส่งเพียง 1–2 ราย ผู้ประกอบการสัญชาติไทยอย่างไปรษณีย์ไทยถูกลดบทบาทจนแทบไม่เหลือสัดส่วน และผู้บริโภคและร้านค้า “ไม่มีสิทธิเลือก” ผู้ให้บริการขนส่งสินค้า

ถ้าปล่อยให้แพลตฟอร์มต่างชาติใช้เทคโนโลยีและกติกาเฉพาะตัวผูกขาดตลาดไทย จะกระทบการแข่งขันภายในประเทศระยะยาว

จับตาจุดเปลี่ยนใหญ่ของกฎคุมแพลตฟอร์ม

รมว.ดีอีเผยว่า ปี 2569 จะเป็นปีแห่งการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี 2 กฎหมายลูกสำคัญที่ถูกจับตาอย่างยิ่ง ได้แก่

  • ประกาศใหม่ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA – คุมเข้มแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร

ทั้งนี้ ETDA อยู่ระหว่างพิจารณากฎระเบียบ ที่จะทำให้ TikTok อยู่ภายใต้กรอบเดียวกับแพลตฟอร์มช็อปปิ้ง ไม่ใช่เพียงฐานะ “โซเชียลคอมเมิร์ซ” อีกต่อไป เนื่องจากบทบาทในตลาดมีลักษณะเหมือนอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ

กฎชุดนี้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ปิดช่องโหว่ความปลอดภัย ควบคุมมาตรฐานข้อมูล ความโปร่งใส ห้ามแพลตฟอร์มใช้กลไกทางเทคโนโลยีเพื่อกีดกันคู่แข่ง

  • ประกาศ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.)  ว่าด้วยแนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของแพลตฟอร์มหลายด้าน (Multi-sided Platform)

ไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคกำกับดูแลแพลตฟอร์ม

ท่ามกลางภาวะที่ผู้ประกอบการไทยถูกทุนต่างชาติ “แช่แข็งการแข่งขัน” โดยใช้อัลกอริทึมหรือระบบปิด ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยชะงักตัวในหลายมิติ รัฐบาลจึงต้องเร่งยกระดับกติกาใหม่

เขา ย้ำว่า เป้าหมายของรัฐไม่ใช่การชะลอการเติบโตของแพลตฟอร์มใหญ่ แต่เพื่อสร้างสนามแข่งขันที่เป็นธรรม และป้องกันความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระยะยาวของประเทศ

นับถอยหลังกฎหมายใหม่บังคับใช้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการ กขค. เปิดเผยความคืบหน้าร่างประกาศให้ทราบว่า อยู่ระหว่างรอบอร์ดพิจารณา ก่อนจะนำกลับมาปรับปรุงและประกาศในราชกิจจานุเบกษา แม้เดิมตั้งเป้าออกภายในสิ้นปี 2568 แต่เอกสารอาจถูกเลื่อนไปช่วงปลาย ม.ค.–ต้น ก.พ. 2569 อย่างไรก็ดี หลักการสำคัญยังอยู่ครบ โดยเฉพาะ สิทธิร้านค้าในการเลือกผู้ให้บริการขนส่ง

คืนสิทธิ “เลือกขนส่ง” ให้ผู้บริโภค–ร้านค้า

แนวคิดหลักที่รัฐและหน่วยงานกำกับผลักดันคือ

   •   ให้แพลตฟอร์มต้องโชว์ตัวเลือกขนส่ง “อย่างน้อย 3–5 ราย”

   •   ห้ามบังคับใช้ผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง

   •   แพลตฟอร์มต้องเปิดระบบจัดสรรคำสั่งซื้อ (order allocation) ให้โปร่งใส ไม่เอื้อเอกชนเฉพาะราย

   •   ช่วยเปิดโอกาสผู้เล่นรายใหม่ในโลจิสติกส์ไทย และลดอำนาจต่อรองของแพลตฟอร์มต่างชาติ

ดร.วิษณุเน้นว่า เมื่อการแข่งขันสมบูรณ์ ราคาจะลดลง คุณภาพดีขึ้น และเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้บริโภค พร้อมยืนยันว่าประกาศฉบับใหม่นี้จะตอบโจทย์กังวลของผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่ม