สงคราม AI 2026 : Google กลับมา  OpenAI สะเทือน และโอกาสของคนไทย

สงคราม AI 2026 : Google กลับมา  OpenAI สะเทือน และโอกาสของคนไทย

บรรยากาศการแข่งขัน AI ในช่วงเดือนพฤศจิกายน มีความคึกคักเป็นพิเศษ เพราะบริษัทเทคโนโลยีค่ายใหญ่ๆ ต่างปล่อยโมเดล AI ตัวใหม่ๆ ที่มีความสามารถสูงขึ้นมากมาอีกหลายตัว เรากำลังก้าวพ้นจากยุคสมัยที่ AI ทำได้แค่ ‘สร้างเนื้อหา’ หรือ ‘ก๊อปปี้งาน’ ไปสู่ยุคแห่ง ‘การคิดวิเคราะห์เชิงลึก’ และการทำงาน ‘แทนมนุษย์’ เกือบเต็มรูปแบบ

KEY

POINTS

  • Google กลับมาทวงบัลลังก์ผู้นำ AI ด้วยการเปิดตัว Gemini 3.0 Pro ที่มีเทคโนโลยี Deep Think ซึ่งมีความสามารถสูงจนทำให้คู่แข่งอย่าง OpenAI ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน (Code Red) เพื่อเร่งพัฒนาตาม
  • ความสำเร็จของ Gemini 3.0 มาจากความสามารถในการคิดวิเคราะห์แบบขนาน (Deep Think) การเป็นโมเดลหลายรูปแบบ (Multimodal) ตั้งแต่ต้น และความได้เปรียบด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ Google สร้างเองทั้งหมดตั้งแต่ชิป TPU จนถึงศูนย์ข้อมูล
  • สำหรับคนไทย การแข่งขันนี้เป็นผลดีเพราะคาดว่า Gemini 3.0 จะรองรับภาษาไทยได้ดีเยี่ยม และเกิดแนวทางการเลือกใช้ AI หลายตัวผสมผสานกันตามความถนัดของงาน รวมถึงโมเดลสัญชาติไทยอย่าง Typhoon สำหรับงานเฉพาะทาง
  • ทิศทางการแข่งขันในอนาคตจะมุ่งสู่การพัฒนา AI Agent ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้จริง ท่ามกลางการลงทุนมหาศาลและวงจรการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

บรรยากาศการแข่งขัน AI ในช่วงเดือนพฤศจิกายน มีความคึกคักเป็นพิเศษ เพราะบริษัทเทคโนโลยีค่ายใหญ่ๆ ต่างปล่อยโมเดล AI ตัวใหม่ๆ ที่มีความสามารถสูงขึ้นมากมาอีกหลายตัว เรากำลังก้าวพ้นจากยุคสมัยที่ AI ทำได้แค่ ‘สร้างเนื้อหา’ หรือ ‘ก๊อปปี้งาน’ ไปสู่ยุคแห่ง ‘การคิดวิเคราะห์เชิงลึก’ และการทำงาน ‘แทนมนุษย์’ เกือบเต็มรูปแบบ

เริ่มต้นด้วยเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน บริษัท OpenAI เปิดฉากด้วยการปล่อย GPT-5.1 ที่ด้านความเร็วและการให้เหตุผลเรื่อง มีจุดเด่นในการ คุยรู้เรื่อง คุมง่าย คือใช้ภาษาเป็นธรรมชาติมากขึ้น

จากนั้นวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 : บริษัท Google ก็เปิดตัว Gemini 3.0 Pro และฟีเจอร์ Deep Think ซึ่งเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการให้เหตุผลและโมเดลหลายรูปแบบทั้งข้อความและภาพครั้งสำคัญ

ปิดท้ายด้วยบริษัท Anthropic ที่เปิดตัว Claude Opus 4.5 ที่เน้นจุดขายด้านการเขียนโค้ดและการทำงานเป็นตัวแทนอัตโนมัติ (Agentic workflows) ด้วยประสิทธิภาพที่แม่นยำสูงสุดในตลาด เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน

แต่สิ่งที่ทำให้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริง คือการกลับมา Google ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นรองในยุคเริ่มต้นของ Generative AI ได้กลับมาทวงบัลลังก์อย่างดุดัน ถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2022 โลกตื่นเต้นกับการเปิดตัว ChatGPT ที่ทำให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ถึงกับเสียหลัก จนซีอีโอ ซุนดาร์ พิชัย ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ Code Red เพื่อระดมสรรพกำลังทั้งหมดมารับมือกับภัยคุกคามที่อาจสั่นคลอนธุรกิจค้นหาข้อมูล จนมีบางคนบอกว่าเลิกค้นหาข้อมูลด้วยการใช้ Google Search แบบเดิมๆ

การเปิดตัว Gemini 3.0 กลายเป็นการทำให้ฝั่งของ OpenAI โดยแซม อัลท์แมน ของบริษัท ต้องประกาศ Code Red ภายในบริษัทเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา สั่งรื้อแผนงานทั้งหมด พับโครงการโฆษณา เพื่อทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปที่การปรับปรุงความเร็ว ความเสถียร และความสามารถในการปรับแต่งส่วนบุคคลของ ChatGPT สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง “Sputnik Moment” ของ OpenAI ที่ต้องกลับมาเป็นฝ่ายตั้งรับและไล่ตามคู่แข่งอย่าง Google

ถ้าใครมีโอกาสได้เล่น Gemini 3.0 Pro จะพบความสามารถที่น่าสนใจหลายด้าน Gemini 3.0 ไม่ได้แค่ฉลาดขึ้น แต่มันเปลี่ยนวิธี ‘คิด’ โดยสิ้นเชิง ด้วยกลไกใหม่ที่เรียกว่า Deep Think หากโมเดล AI ทั่วไปเหมือนการคิดแบบเส้นตรง ทีละขั้นตอน Deep Think ของ Gemini ก็เหมือนการคิดแบบ ขนาน ออกไปหลายทางพร้อมกัน มันสามารถสร้างทางเลือกของคำตอบที่เป็นไปได้ ประเมินว่าทางไหนน่าจะสำเร็จ แล้วตัดทางที่ผิดทิ้งไป จากนั้นจึงย้อนกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดก่อนหน้า จนได้คำตอบสุดท้ายที่สมบูรณ์ที่สุด วิธีนี้ทำให้มันเก่งกาจเป็นพิเศษในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากๆ ทั้งทางคณิตศาสตร์ ตรรกะ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งสะท้อนผ่านผลทดสอบที่ทิ้งห่างคู่แข่งอย่างไม่เห็นฝุ่น

นอกจากนี้ Gemini 3.0 ยังถูกฝึกให้ มองเห็น ได้ยิน และอ่าน ข้อความไปพร้อมๆ กันตั้งแต่แรกเกิด ไม่ใช่การเอาโมเดลภาพกับโมเดลภาษามาแปะรวมกันเหมือนคู่แข่ง ทำให้มันเข้าใจโลกได้ลึกซึ้งกว่า ยกตัวอย่างเช่น มันสามารถดูคลิปวิดีโอสาธิตการทดลอง แล้วเขียนโค้ดเพื่อจำลองการทดลองนั้นได้ทันทีโดยไม่สับสนแม้แต่การสร้างรูปภาพเช่นการทำอินโฟกราฟิก หรือปรับแต่งข้อความในภาพ ทำได้ถูกต้องและเก่งมาก จนผมเองอดสงสัยไม่ได้ว่างานที่มนุษย์ต้องทำเองอาจเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ

ความสำเร็จนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการที่ Google ผนึกกำลังทีมวิจัย DeepMind ภายใต้การนำของ เดมิส ฮัสซาบิส อย่างเบ็ดเสร็จ ประกอบกับความได้เปรียบทางโครงสร้างพื้นฐานเพราะ Google เป็นบริษัทเดียวที่สร้างทุกอย่างเองทั้งหมด

ตั้งแต่ชิปประมวลผลพิเศษที่เรียกว่า TPU (Tensor Processing Unit) ไปจนถึงศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาและแพลตฟอร์มผู้ใช้งาน Android, Google Search, YouTube ซึ่งคู่แข่งคนอื่นๆ อย่าง OpenAI และ Anthropic ต้องพึ่งพาชิป GPU ราคาแพงลิบลิ่วจาก NVIDIA ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก ความได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ทำให้ Google สามารถนำเสนอ AI ที่ซับซ้อนกว่าในราคาที่ถูกกว่า หรือแม้แต่ให้ใช้ฟรีในบางส่วนเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาในระบบนิเวศของตนเอง

เมื่อมองภาพรวมตลาด AI ในช่วงรอยต่อปี 2025 ถึง 2026 เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ แม้ Google จะกลับมาผงาดในแง่เทคโนโลยี แต่ในแง่ของแบรนด์และการรับรู้ของผู้บริโภค คำว่า ChatGPT ยังคงเป็นคำสามัญประจำบ้านที่คนทั่วไปใช้เรียก AI ด้วยฐานผู้ใช้งานกว่า 700 ล้านคนต่อสัปดาห์ และส่วนแบ่งตลาดแชทบอทผู้บริโภคที่สูงถึง 75% ทำให้ OpenAI ยังคงมีความได้เปรียบมหาศาลในเชิงธุรกิจ แต่บัลลังก์นี้ก็ไม่ได้มั่นคงถาวร เพราะคู่แข่งอย่าง Google เริ่มหายใจรดต้นคอเข้ามาทุกที สังเกตได้จากจำนวนผู้ใช้แอป Gemini ที่พุ่งขึ้นมาแตะหลัก 650 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 450 ล้านในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

แล้วการแข่งขันนี้มีผลกระทบกับคนไทยอย่างไร? แม้ผลทดสอบภาษาไทยอย่างเป็นทางการจะยังไม่เปิดเผย แต่เราสามารถคาดการณ์ได้ว่า Gemini 3.0 น่าจะหนึ่งในโมเดลที่ทำได้ดีที่สุดในภาษาไทย เพราะ Google มีคลังข้อมูลภาษาไทยมหาศาลจาก Search และ YouTube การที่โมเดลเข้าใจวิดีโอและภาพด้วยจะช่วยให้มันเข้าใจบริบททางวัฒนธรรมและภาษาถิ่นได้ดีกว่า

ขณะเดียวกัน โมเดลสัญชาติไทยเองก็เริ่มสร้างพื้นที่ของตัวเอง เช่น Typhoon ที่พัฒนาต่อยอดมาเพื่อทำงานเฉพาะทางที่โมเดลต่างชาติยังทำได้ไม่ดีเท่า โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารภาษาไทยที่มีความซับซ้อน เช่น ตาราง ฟอร์มราชการ หรือเข้าใจภาษาท้องถิ่น

ดังนั้น ยุคนี้จึงไม่ใช่ยุคของการยึดติดกับ AI ตัวใดตัวหนึ่งอีกต่อไป ธุรกิจและนักพัฒนาที่ฉลาดจะใช้วิธีผสมผสานโมเดลหลายตัวเช่น ใช้ Gemini 3.0 สำหรับงานวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และใช้ความรู้รอบตัว การสร้างรูปภาพ ใช้ GPT 4.5 ในงานระดมความคิดเห็นงานสร้างสรรค์ ใช้ Claude Opus 4.5 สำหรับทีมเขียนโค้ดที่ต้องการความแม่นยำสูงสุด, และใช้ Typhoon สำหรับงานเอกสารหรือการบริการลูกค้าที่ต้องการความเป็นธรรมชาติของภาษาไทยแท้ๆ

สุดท้ายสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คือสงครามเงินทุนและการพัฒนาที่รวดเร็วอย่างบ้าคลั่ง คาดการณ์ว่า บริษัท เทคโนโลยีขนาดใหญ่จะทุ่มเงินรวมกันกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2026 เพื่อชิงความเป็นหนึ่ง รอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือโมเดลใหม่ที่เคยยาวนาน 6-7 เดือน จะถูกย่อลงเหลือเพียงไม่กี่เดือนหรืออาจเป็นไม่กี่สัปดาห์ ดังที่เห็น Google ปล่อย Gemini 3 ออกมาหลังจากรุ่น 2.5 เพียงแค่ 7 เดือนเท่านั้นทิศทางเทคโนโลยีจะมุ่งไปสู่ AI Agent หรือผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถคิดและลงมือทำแทนมนุษย์ได้จริง ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโค้ดอัตโนมัติ การจองตั๋ว หรือการจัดการงานเอกสารที่ซับซ้อน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความร้อนแรงนี้ นักวิเคราะห์การเงินกว่าครึ่งเริ่มส่งเสียงเตือนถึงภาวะฟองสบู่ AI ที่อาจกำลังก่อตัวขึ้น คล้ายกับยุคดอทคอมในอดีต เมื่อราคาหุ้นและความคาดหวังพุ่งสูงเกินความเป็นจริง

บทสรุปของศึกครั้งนี้ยังคงอีกยาวไกล แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดในขณะนี้คือ Google ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า ยักษ์ใหญ่ที่เคยถูกปรามาสว่าเชื่องช้านั้น ได้ตื่นขึ้นแล้วอย่างเต็มตัว และพร้อมจะทวงคืนทุกอย่างที่เสียไป การประกาศ Code Red ของ OpenAI จึงไม่ใช่ความตื่นตระหนกที่เกินจริง แต่เป็นการยอมรับว่าคู่ต่อสู้ที่แท้จริงได้ก้าวเข้ามาประชิดประตูบ้านแล้ว

สำหรับผู้บริโภคอย่างเรานี่คือข่าวดี เพราะการแข่งขันที่ดุเดือดหมายถึงเทคโนโลยีที่ฉลาดขึ้น เก่งขึ้น และเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับคนทำงานในแวดวงเทคโนโลยี ปี 2026 จะเป็นปีที่ต้องวิ่งให้เร็วกว่าเดิม เพราะในโลกของ AI การหยุดนิ่งเพียงเสี้ยววินาที อาจหมายถึงการถูกทิ้งไว้ข้างหลังตลอดกาล