อยู่ให้เป็น - เย็นให้พอ - รอให้ได้ | ผู้นำยุคสุดท้าย

อยู่ให้เป็น - เย็นให้พอ - รอให้ได้ | ผู้นำยุคสุดท้าย

โลกของเราทุกวันนี้ นับวันจะอยู่ยากขึ้นทุกที ใช่ไหมครับ เราก็คงต้องยึดเอาคำขวัญยอดฮิตเพื่อการอยู่ให้รอดในยุค AI นี้ว่า “อยู่ให้เป็น - เย็นให้พอ - รอให้ได้” จริงๆ แม้ว่าคำขวัญนี้ ก็ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ

ยิ่งในยุคของข้อมูลข่าวสารเกลื่อนเมือง จากระบบสื่อสารไร้สายในยุคดิจิทัล, IoT (Internet of things) และ AI ทุกวันนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความพยายามของทุกผู้คนที่จะต้องอยู่ให้รอดและปลอดภัยด้วย

ข่าวสารเรื่องเดียวกัน แต่มาจากแหล่งข่าวคนละที่ ข่าวสารที่เผยแพร่ก็อาจจะไม่เหมือนกัน ยิ่งมาจากนักวิชาการและมืออาชีพคนละคน ซึ่งวิเคราะห์ตีความออกมาไม่เหมือนกัน (ดังปรากฏให้เห็นในสื่อโซเชียลอยู่เนืองๆ) ก็ยิ่งทำให้ผู้คนสับสน เพราะไม่รู้จะเชื่อใคร

ดังเช่น (1) กรณีมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ค่าไหนคือค่าสูงสุด ค่าไหนต่ำสุด ค่าไหนที่ยอมรับได้ ผลของการวิจัยและตีความที่แตกต่างกัน ของนักวิชาการ ก็ทำให้ผู้คนในสังคมโลกสับสน ตามไปด้วยปัญหาในการแก้ไขปรับปรุงและมาตรฐานในการยึดถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และปัญหาในการเลือกใช้เครื่องมืออุปกรณ์ในการตรวจวัด

(2) คุณหมอชื่อดังทั้งไทยและเทศหลายท่านบอกว่าคนปกติไม่ควรทานไข่เกินวันละฟอง แต่อีกหลายท่านบอกว่าทานวันละ 3 ฟองก็ได้ บางท่านบอกว่าทานอาหารปกติก็พอแล้ว ไม่ต้องทานอาหารเสริมใดๆ เพิ่มอีก แต่ก็มีหลายท่านบอกว่าทานอาหารเสริมควบคู่กันไปจะดีกว่า รวมตลอดถึงค่าความดัน ค่าไขมัน ค่าโปรตีน ฯลฯ 

จากงานวิจัย ที่ตีความเปลี่ยนไปจากเดิมและมีผลต่อสุขภาพที่ต่างกัน ความพอดีของการออกกำลังกายหนักเบา มาตรฐานความอ้วน และอื่นๆ อีกมากมาย เราท่านก็ใช้ชีวิตลำบาก เพราะไม่รู้จะเชื่อคุณหมอท่านไหนดี ไม่รู้ว่าจะเข้ากรณีของ “มากหมอมากความ” หรือไม่

(3) ผลการวิเคราะห์และตีความของนักวิชาการหรือผู้รู้จากค่ายต่างๆ ที่อาศัยความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวด้วย ก็มีผลต่อสังคมต่างกัน

(4) การตีความทางรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง นิติศาสตร์ ที่ต้องอาศัยพื้นฐานความเชื่อของสำนักวิชาการต่างๆ ผนวกเข้ากับความคิดเห็นของนักวิชาการแต่ละสาขาวิชาชีพด้วยแล้ว อาจทำให้เกิดสองมาตรฐาน ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติที่ต่างกัน จนทำให้เกิดความแตกแยกของสังคม ก็ยิ่งทำให้ผู้คนสับสนมึนงง และคับข้องใจ จนเกิดความเครียดสะสมได้ด้วย

ที่สำคัญในวันนี้ ก็คือ เรามี “มือถือ” กันเกือบทุกคน ทุกคนจึงสามารถเข้าถึงแหล่งข่าวและเสพข่าวสารข้อมูลได้อย่างอิสระ ถ้าเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานที่แข็งแรงอยู่แล้ว ก็คงจะไม่เป็นปัญหานัก เพราะสามารถติดตาม วิเคราะห์ วิพากษ์ และศึกษาข้อมูลตัวเลขได้ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ แต่ถ้าเป็นคนที่พื้นฐานความรู้ในเรื่องนั้นๆ ไม่แน่นพอ ก็อาจหลงเชื่ออะไรต่างๆ ได้ง่าย แล้วตามมาด้วยปัญหาต่างๆ

เมื่อเราต่างมี “มือถือ” ที่สามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารจาก Search Engine ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งเป็นยุคของ AI (ChatGPT, Gemini,DeepSeek) ซึ่งผู้คนจำนวนมากจะ “ติดมือถือ” (โดยเฉพาะติด Line และ ติด TikTok) ทำให้หลายคนมีบุคลิกภาพในลักษณะของ “อินโทรเวิร์ต” มากขึ้น

ทั้งๆ ที่ผลงานวิจัยอย่างยาวนานของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้สรุปว่า “สิ่งที่ทำให้คนมีความสุขและอายุยืนก็คือ “สัมพันธภาพ” (Relationship) ที่มีคุณภาพกับคนรอบข้าง” ซึ่งไม่ใช่คนที่ชอบปลีกวิเวก

(Introvert คือ บุคลิกภาพแบบหนึ่งของคนที่มีแนวโน้มจะชอบใช้เวลาอยู่กับตนเอง มีโลกส่วนตัวสูง และรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ มากกว่าการอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก) 

ทุกวันนี้ โลกโซเชียลมี “แอปพลิเคชัน” มากมาย อาทิ Email, Tweet, Facebook, Snapchat, Instagram, Message, Call, Browse, Play, Date, Shoot, Film, Record, Blog, Note, Line, AI แม้จะมีประโยชน์มหาศาลและมีความสำคัญต่อ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Life Long Learning : LLL) ก็ตาม

แต่สิ่งเหล่านี้ก็ดึงเอา “เวลา” อันมีค่าของเราไปมาก ซึ่งไม่สามารถจะเรียกเอากลับคืนมาได้ด้วย เราจึงต้องระมัดระวังในการเสพข่าวสารข้อมูลที่ไม่จริงและไม่เป็นประโยชน์

ทั้งหมดทั้งปวงของปัญหาทุกวันนี้ก็คือ เราไม่รู้จะเชื่อใครดี ครั้นจะไม่อ่านสื่อโซเชียลเลยก็จะตามโลกไม่ทัน แต่อ่านมากเสพมากไปก็สับสนมึนงง

คำว่า “อยู่ให้เป็น - เย็นให้พอ - รอให้ได้” จึงเหมาะสมมากกับยุคสมัยปัจจุบันมากที่สุด เพื่อจะทำให้เราสามารถมีชีวิตที่ง่ายขึ้นและมีความสุขมากขึ้น โดยไม่เบื่อหน่ายหรือท้อแท้ง่ายๆ ซึ่งต้องอาศัย “ความพยายาม” ไม่น้อย

ว่าไปแล้ว ความเป็นจริงของสังคมคนรุ่นผมก็คือ เมื่อตอนหนุ่มๆ สาวๆ เราต่างดิ้นรนทำงานทำการเพื่อหาเงินไว้เลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัวและเผื่อไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณ แต่พออายุมากขึ้น เมื่อเป็นคนสูงวัยในวันนี้แล้ว ถึงได้รู้ซึ้งถึงคำว่า “ตอนหนุ่มสาวมีแรง แต่ไม่มีเงิน พอตอนแก่มีเงิน แต่ไม่มีแรง” และถึงเวลาที่ต้องยอมรับแล้วว่า “พอมีพอกินและสุขภาพที่แข็งแรง สำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ”

เรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุดในปัจจุบันก็คือ ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่จาก “ผู้ที่รู้ไม่จริง” “ผู้ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง” “ผู้ไม่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ (จริง)” “ผู้ที่ตั้งตนเองเป็นกูรู” เป็นต้น แล้วพูดออกสื่อโดยขาดความรับผิดชอบ อาจทำให้ผู้คนไขว้เขวหลงเชื่อจำนวนมาก ก็ยิ่งจะทำให้สังคมสับสนและมีปัญหามากมาย แต่ที่น่ายกย่องชมเชยก็คือ พวกที่ทำการบ้านและศึกษาจนรู้จริง แล้วเผยแพร่ต่อสังคมด้วยความรับผิดชอบ

ชีวิตที่มาถึงวันนี้ จึงต้อง “อยู่ให้เป็น - เย็นให้พอ - รอให้ได้” เช่นกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับ “ช่วงวัย” ที่เหมาะสมด้วย

แต่ผมก็ขอเน้นเรื่องของ “การอยู่อย่างมีความสุขด้วยชีวิตที่มีคุณภาพและสุขภาพแข็งแรง” ซึ่งหมายถึง การอยู่ได้อย่าง “สงบสุข สมวัย และให้..ให้เป็น” ครับผม !