OpenAI ประกาศ ‘โค้ดเรด’ เร่งปรับปรุง ChatGPT หลังผู้ใช้ Gemini ทะลุ 650 ล้านราย

OpenAI ประกาศ ‘โค้ดเรด’ เร่งปรับปรุง ChatGPT หลังผู้ใช้ Gemini ทะลุ 650 ล้านราย

บริษัท OpenAI ประกาศภาวะโค้ดเรด เพื่อเร่งปรับปรุงคุณภาพของ ChatGPT ในด้านต่างๆ เช่น ความเร็ว ความเสถียร และการปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ แรงกดดันมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Gemini คู่แข่งจาก Google ซึ่งมีผู้ใช้งานทะลุ 650 ล้านราย

KEY

POINTS

  • OpenAI ประกาศภาวะโค้ดเรด เร่งปรับปรุงคุณภาพของ ChatGPT ด้านต่างๆ เช่น ความเร็ว ความเสถียร และการปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้
  • แรงกดดันมาจากการเติบโตของ Gemini คู่แข่งจาก Google ซึ่งมีผู้ใช้งานทะลุ 650 ล้านราย และมีโมเดลใหม่ที่ทำคะแนนทดสอบมาตรฐานได้สูงกว่า
  • แซม อัลท์แมน สั่งชะลอโครงการอื่นบางส่วนออกไปก่อน เช่น ระบบโฆษณา และผู้ช่วยเอไอสำหรับงานเฉพาะทาง

แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโอเพนเอไอ (OpenAI) ส่งบันทึกภายในถึงพนักงานทั้งองค์กรเมื่อวันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2568 ประกาศภาวะ “โค้ดเรด” (Code Red) เพื่อเร่งปรับปรุงคุณภาพของแชตจีพีที (ChatGPT) พร้อมสั่งชะลอโครงการอื่นบางส่วนออกไปก่อน 

อัลท์แมนระบุในบันทึกว่า ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้แชตจีพีทียังต้องปรับปรุงอีกหลายด้าน ตั้งแต่การทำให้ระบบปรับแต่งได้มากขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน ความเร็ว ความเสถียร ไปจนถึงความสามารถในการตอบคำถามที่หลากหลายกว่าเดิม

เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน บริษัทจะจัดการประชุมทุกวันสำหรับทีมที่รับผิดชอบพัฒนาแชตบอต และขอให้พนักงานที่เหมาะสมพิจารณาย้ายทีมแบบชั่วคราวเพื่อช่วยเร่งงานด้านนี้

นิค เทอร์ลีย์ (Nick Turley) หัวหน้าแชตจีพีทีของโอเพนเอไอโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) ว่า ทีมกำลังโฟกัสทั้งการขยายฐานผู้ใช้ และทำให้แชตบอตใช้งานเป็นธรรมชาติมากขึ้น ให้ความรู้สึกส่วนตัวขึ้น

เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า เบื้องหลังแรงกดดันสำคัญคือ ความเคลื่อนไหวของ กูเกิล (Google) หลังบริษัทเปิดตัวรุ่นใหม่ของโมเดล เจมิไน (Gemini) เมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยทำคะแนนทดสอบมาตรฐานอุตสาหกรรมสูงกว่าโอเพนเอไอ และดันราคาหุ้นกูเกิลพุ่งขึ้นทันที 

นอกจากนี้ ฐานผู้ใช้เจมิไนยังเติบโตต่อเนื่อง นับตั้งแต่กูเกิลเปิดตัวเครื่องมือสร้างภาพ นาโน บานาน่า (Nano Banana) ในเดือนสิงหาคม โดยตัวเลขผู้ใช้ต่อเดือนเพิ่มจาก 450 ล้านรายในเดือนกรกฎาคม เป็น 650 ล้านรายในเดือนตุลาคม

อย่างไรก็ตาม นอกจากกูเกิลแล้ว โอเพนเอไอยังถูกกดดันจาก แอนโทรปิก (Anthropic) ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่มลูกค้าองค์กร

แม้จะเป็นบริษัทเอกชนที่ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่โอเพนเอไอกำลังเผชิญความกังวลจากตลาดทุน เนื่องจากบริษัทมีแผนลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลในระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ในอนาคต ขณะที่ไม่ชัดเจนว่าจะสร้างรายได้ให้คุ้มกับต้นทุนเหล่านี้ได้เมื่อใด 

ซาราห์ ฟรายเออร์ (Sarah Friar) ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกล่าวเมื่อเดือนพฤศจิกายน ว่า การเข้าตลาดหุ้นยังไม่ใช่แผนระยะใกล้ ชะตาของโอเพนเอไอยังผูกโยงกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่เป็นพันธมิตร เช่น อินวิเดีย (Nvidia) ไมโครซอฟท์ (Microsoft) และออราเคิล (Oracle)

เพื่อตอบสนองภาวะโค้ดเรด อัลท์แมนระบุว่าบริษัทจะชะลอหลายโครงการ เช่น ระบบโฆษณา ตัวแทนเอไอสำหรับงานสุขภาพ งานซื้อสินค้า และผู้ช่วยส่วนตัวชื่อ พัลส์ (Pulse) 

ขณะเดียวกัน โอเพนเอไอยังต้องระดมทุนต่อเนื่องเพราะยังมีกำไรไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน ทำให้บริษัทเสียเปรียบด้านเงินทุนเมื่อเทียบกับกูเกิลหรือบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่สามารถใช้รายได้ของตนเองเป็นทุนการวิจัยและพัฒนา

ภายในบริษัทเองยังประเมินว่าโอเพนเอไอจะต้องเพิ่มรายได้ให้ถึงระดับราวสองแสนล้านดอลลาร์จึงจะเริ่มทำกำไรได้ในปี 2573

อัลท์แมนระบุในบันทึกว่าบริษัทมีความคืบหน้าสำคัญในด้านงานวิจัย โมเดลเหตุผลเชิงตรรกะรุ่นใหม่ที่กำลังเตรียมเปิดตัวในสัปดาห์หน้ามีศักยภาพเหนือกว่าเจมิไนรุ่นล่าสุดของกูเกิล โอเพนเอไอยังคงทำผลงานแข่งขันได้ดีในด้านอื่นหลายด้าน 

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา โอเพนเอไอต้องเผชิญโจทย์ยากเรื่องการหาจุดสมดุลระหว่างความปลอดภัยของแชตจีพีทีกับความต้องการให้ระบบมีปฏิสัมพันธ์ที่ดึงดูดผู้ใช้

โดยเฉพาะหลังเปิดตัวจีพีที รุ่น 5 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งผู้ใช้บางส่วนมองว่าระบบมีโทนการตอบสนองช้าและมีข้อผิดพลาดในการตอบคำถามง่ายๆ อย่างคณิตศาสตร์หรือภูมิศาสตร์ ทำให้บริษัทต้องปรับปรุงโมเดลเมื่อเดือนก่อน เพื่อให้มีน้ำเสียงเป็นมิตรขึ้นและทำตามคำสั่งผู้ใช้ได้ดีขึ้น

บันทึกยังระบุว่าโอเพนเอไอเคยประกาศ “โค้ดออเรนจ์” มาก่อนในการเร่งพัฒนาแชตจีพีที โดยบริษัทมีระบบรหัสสีสามระดับ ได้แก่ เหลือง ส้ม และแดง เพื่อบอกระดับความเร่งด่วนของปัญหาที่ต้องจัดการในแต่ละช่วงเวลา

อ้างอิง: The Wall Street Journal