ดาวเทียม Starlink-ไทยคม ทางรอดในภาวะวิกฤติ? ฟื้นสัญญาณเน็ต ชงแผนสำรองเครือข่ายชาติ

วิกฤติอุทกภัยหาดใหญ่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ เมื่อระบบสื่อสารภาคพื้นล่ม เมืองเศรษฐกิจใหญ่ของภาคใต้ถูกตัดขาด ถึงเวลาโครงข่ายฉุกเฉิน “Starlink vs ไทยคม” ใครตอบโจทย์แผนความมั่นคงสื่อสารไทย? เอกชนชี้พร้อมเต็มที่ แต่แผนรัฐยังชะลอ วอนตั้งยุทธศาสตร์ “ดาวเทียมฉุกเฉินแห่งชาติ” ก่อนวิกฤติรอบใหม่มาเยือน
KEY
POINTS
- เหตุการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบสื่อสารไทยเมื่อเกิดภัยพิบัติ จึงเกิดแนวคิดในการใช้ดาวเทียมเป็นเครือข่ายสำรองฉุกเฉินระดับชาติ
- บริษัทไทยคมได้เข้าช่วยเหลือฟื้นฟูสัญญาณในพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้อุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียมของตนเชื่อมต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ AIS
- ไทยคมชี้แจงว่าเทคโนโลยีดาวเทียมวงโคจรค้างฟ้า (GEO) ของตนสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตในภาวะฉุกเฉินได้ทัดเทียมกับดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ของ Starlink สำหรับการใช้งานในจุดประจำที่
- กระทรวงดีอีได้ประสานงานกับ SpaceX เพื่อนำดาวเทียม Starlink เข้ามาช่วยในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นกัน แต่ยังคงมีข้อจำกัดด้านกฎหมายและการประสานงาน ทำให้ไทยยังจำเป็นต้องมีระบบดาวเทียมที่สามารถควบคุมได้เองเพื่อความมั่นคง
- มีการเสนอให้รัฐบาลวาง "ยุทธศาสตร์สื่อสารฉุกเฉินผ่านดาวเทียม" อย่างเป็นระบบ โดยมองว่าดาวเทียมเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติ
น้ำท่วมที่หาดใหญ่กลายเป็น “สัญญาณเตือน” ครั้งสำคัญว่าระบบสื่อสารไทยยังไร้กลไกสำรองระดับประเทศ พื้นที่เศรษฐกิจหลักของภาคใต้หยุดชะงักแทบทั้งเมือง ทั้งธนาคาร–โลจิสติกส์–ระบบเตือนภัยหายไปในพริบตา เมื่อไฟถูกตัด-มือถือล่ม เสาโทรศัพท์ถูกน้ำท่วมสูง ทำให้การค้า–การเดินทาง–การช่วยชีวิต ผู้ป่วยฉุกเฉิน ประสบปัญหาอย่างหนัก
หลายหน่วยงานประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจระดับ หลายพันล้านบาทต่อวัน หากระบบแผงคอเศรษฐกิจสะดุดภายใต้สถานการณ์สื่อสารดับอย่างฉับพลัน
"ดาวเทียม" คือคำตอบยามประเทศถูกตัดสัญญาณ?
โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ “สัญญาณโทรศัพท์คือความมั่นคง” ประเทศพัฒนาแล้วทยอยจัดระบบดาวเทียมไว้ในหมวด Critical Infrastructure เทียบชั้นไฟฟ้าและการเงิน เพื่อรับมือภัยพิบัติและความขัดแย้ง
ปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าที่บริหารบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เผยว่า ไทยคมได้รับการติดต่อจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เมื่อช่วงวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา บริษัทก็ได้ส่งอุปกรณ์สื่อสารดาวเทียม 12 ชุด ลงพื้นที่ภาคใต้ทันทีหลังได้รับการแจ้งจากกระทรวงดีอี โดยติดตั้งและออนแอร์สัญญาณแล้วที่
• ม.อ. สงขลานครินทร์ หาดใหญ่
• ค่ายเสนาณรงค์ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า
สำหรับ อีก 10 จุดพร้อมติดตั้งทันทีเมื่อสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นผู้กำหนดพิกัด
โดยเทคโนโลยีของไทยคมเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายโทรคมนาคมกับ AIS ทำให้สัญญาณที่รับจากดาวเทียม กระจายได้ไกลระดับ กิโลเมตร ไม่ใช่แค่ WiFi ระยะ 50-100 เมตรแบบทั่วไป นอกจากนี้ยัง มีระบบยังมี พลังงานโซลาร์ + แบตเตอรี่ ทำงานต่อเนื่องแม้ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง 24 ชม.
เทคโนโลยีไทยทัดเทียม Starlink
เมื่อถูกถามเปรียบเทียบกับ ดาวเทียมวงโคจรต่ำ Starlink ของ SpaceX นายปฐมภพ ตอบตรงไปตรงมาว่า เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของไทยคมสามารถให้บริการได้ เหมือนกันทุกประการสำหรับผู้ใช้งานปลายทาง เพราะในมุมของประชาชน
สิ่งที่เห็นจะเป็นสัญลักษณ์สัญญาณ WiFi ไม่ใช่ความแตกต่างระหว่างดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ของ Starlink หรือ ดาวเทียมวงโคจรค้างฟ้า (GEO) ของไทยคม
สำหรับในภารกิจในพื้นที่หาดใหญ่ ไทยคมใช้ดาวเทียม GEO ได้แก่ ไทยคม 4, ไทยคม 6 และไทยคม 8 ซึ่งสามารถสลับโหมดได้ทั้งการใช้งานแบบบรอดแบนด์และแบบทรานสปอนเดอร์ อธิบายให้ชัดคือ ดาวเทียมสามารถสวิตช์ภารกิจได้ทันทีตามความจำเป็น
แม้ LEO จะโดดเด่นในการใช้งานแบบเคลื่อนที่ เช่น บนเรือหรือเครื่องบิน แต่สำหรับ จุดปฏิบัติการประจำที่ อย่างศูนย์พักพิงหรือศูนย์บัญชาการแล้ว GEO และ LEO แทบไม่ต่างกันเลยสำหรับผู้ใช้ปลายทาง เพราะสุดท้ายแล้ว อินเทอร์เน็ตก็คืออินเทอร์เน็ต และปลายทางเห็นเพียงสัญญาณไวไฟเท่านั้น
สำหรับข้อมูลที่ว่า กล่อง Starlink รองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า ไทยคมชี้ว่าไม่ถูกต้อง เพราะรัศมี WiFi ของอุปกรณ์ประเภทนี้จำกัดตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว ราว 50-100 เมตรเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้ไทยคมได้เปรียบคือ การนำสัญญาณดาวเทียมเข้าเชื่อมต่อกับโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ ทำให้สัญญาณถูกป้อนไปที่เสาส่งสัญญาณมือถือของ AIS และสามารถกระจายออกได้ในระยะหลายกิโลเมตร เทียบเท่ารัศมีให้บริการของเสาสัญญาณหนึ่งต้น
ไทยคมทำได้ทุกอย่างเหมือน Starlink ถ้าไม่มี Starlink ไทยคมก็รองรับได้ เราทำอินเทอร์เน็ตดาวเทียมมา 20 ปี และความจุของดาวเทียมไทยคมเพียงพออย่างยิ่งต่อการรองรับภารกิจฉุกเฉินทุกพื้นที่ของประเทศ เพราะลำแสงดาวเทียมของไทยคมครอบคลุมทุกตารางนิ้วของประเทศไทย โดยแทบไม่มีจุดบอดเลย
แล้ว Starlink ล่ะ?
ข้อได้เปรียบสำคัญของ Starlink คือ
• ความเร็วสูงจาก LEO
• เหมาะกับเคลื่อนที่ เช่น เรือ–เครื่องบิน
• เปิดใช้งานแบบไม่ต้องพึ่งเสาโทรคมนาคม
แต่ติดข้อจำกัดสำคัญ 2 เรื่อง
1. ข้อกฎหมายไทย ห้ามต่างชาติถือใบอนุญาตโครงสร้างพื้นฐาน 100%
2. การประสานงานภาครัฐ ทำให้การเข้าพื้นที่ยังล่าช้า
นั่นหมายความว่า ไทยยังต้องมี “ระบบที่ควบคุมได้เอง” ในภารกิจความมั่นคงระดับชาติ
ก่อนหน้านี้ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทำให้ระบบสื่อสารโทรคมนาคมไม่สามารถใช้งานได้ในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ประสบภัย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นจะต้องวางระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมขึ้นใหม่ เพื่อใช้ในภาวะวิกฤติอำนวยความสะดวกให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่กู้ภัยในพื้นที่ ในการให้ความช่วยเหลืออพยพประชาชน โดยตนได้ดำเนินการประสานงานกับ บริษัท SpaceX เพื่อขอความร่วมมือวางระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมความเร็วสูง (satellite internet broadband) โดยใช้อุปกรณ์ดาวเทียม Starlink ในการเชื่อมต่อระบบ
จากการหารือร่วมระหว่าง บริษัท SpaceX และ กสทช. ได้ข้อสรุปว่า ทาง SpaceX ยินดีสนับสนุนดาวเทียม Starlink เพื่อใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ กสทช. จะดำเนินการออกใบอนุญาตนำเข้า พร้อมเงื่อนไขหลักเกณฑ์การใช้งานเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ในประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น หลังจากที่นายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจให้ลงนามแทน ได้ลงนามอนุญาตนำเข้าแล้ว
ดาวเทียม = ประกันเศรษฐกิจประเทศ
ในเชิงเศรษฐกิจ 1 ชั่วโมงสัญญาณล่ม = ธุรกรรมหยุดนับล้านครั้ง ความน่าเชื่อถือเมืองท่องเที่ยวเสื่อมลง ยิ่งในภาวะวิกฤติสัญญาณล่มมันเทียบเท่ากับชีวิตคน อาจนำมาสู่นาทีแห่งการสูญเสียมาสู่นาทีแห่งความสูญเสีย
ดังนั้น หากมองโอกาสธุรกิจดาวเทียมไทย ยังไปได้ไกลกว่าแค่กู้ภัย นอกจากงานฉุกเฉิน ดาวเทียมยังต่อยอดสู่เศรษฐกิจใหม่ เช่น Maritime Connectivity ระบบเดินเรือ–ประมง IoT เกษตร–ป่าไม้–โลจิสติกส์ Smart Security เมือง–แรงงานในนิคม รวมไปถึง บริการความมั่นคงภาครัฐ (B2G) อย่างเช่นดาวเทียมเพื่อความมั่นคง
ดังนั้น อาจถึงเวลารัฐต้องวาง “ยุทธศาสตร์สื่อสารฉุกเฉินดาวเทียม”แทนการทำงานแบบ ตามเหตุการณ์ รัฐควรมีแผนวางจุดติดตั้งล่วงหน้าพื้นที่ภัยพิบัติ เปิดสัญญาณได้ทันที และดาวเทียมไม่ใช่ระบบสำรองอีกต่อไป
ประเทศไทยต้องเลือกแล้วว่าจะลงทุนใน “เกราะกันความเสียหาย” หรือยอมจ่ายแพงขึ้นทุกครั้งที่วิกฤติมาเยือน
เมื่อสายน้ำพัดทุกอย่างหายไป สิ่งเดียวที่ต้องเหลือไว้คือ สัญญาณเพื่อชีวิต เพื่อเศรษฐกิจ และเพื่อความเชื่อมั่นของประเทศ







