บทเรียนจาก “น้ำท่วมหาดใหญ่ “ทำไม “เทคโนโลยี” อย่างเดียวจึงกู้วิกฤติไม่ได้

บทเรียนจาก “น้ำท่วมหาดใหญ่ “ทำไม “เทคโนโลยี” อย่างเดียวจึงกู้วิกฤติไม่ได้

พฤศจิกายน 2568 จะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของชาวหาดใหญ่และคนไทยทั้งประเทศ ด้วยภาพของมวลน้ำมหาศาลที่ไหลบ่าเข้าท่วมเมืองเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ รุนแรงที่สุดในรอบ 300 ปี

พฤศจิกายน 2568 จะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของชาวหาดใหญ่และคนไทยทั้งประเทศ ด้วยภาพของมวลน้ำมหาศาลที่ไหลบ่าเข้าท่วมเมืองเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ รุนแรงที่สุดในรอบ 300 ปี ฝนที่ตกหนักถึง 335 มิลลิเมตรในวันเดียวเปลี่ยนถนนให้กลายเป็นแม่น้ำ เปลี่ยนบ้านเรือนกว่าสองหมื่นหลังให้จมอยู่ใต้บาดาล และเปลี่ยนชีวิตของผู้คนนับแสนให้ตกอยู่ในความมืดมน

แต่ท่ามกลางความสูญเสีย สิ่งที่เจ็บปวดกว่าระดับน้ำที่สูง 2-4 เมตร คือความรู้สึกที่ว่า "เราน่าจะรับมือได้ดีกว่านี้" เพราะสาเหตุของความเสียหายไม่ได้มาจากเพียงแค่ปัจจัยทางธรรมชาติจากน้ำที่ประดังเข้ามาพร้อมกัน ทั้งน้ำฝน น้ำหลาก และน้ำทะเลเต็มทะเลสาบ แต่ยังมาจากช่องโหว่ขนาดใหญ่ในการบริหารจัดการและการเตือนภัยที่ดูเหมือนจะก้าวไม่ทันโลกยุคปัจจุบัน

หากเราถอยออกมามองภาพรวมของมหันตภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้อย่างเป็นธรรม เราอาจพบความจริงที่น่าตกใจว่า ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการที่เราไม่รู้ว่าน้ำจะมา หรือ ไม่มีเทคโนโลยีในการเตือนภัย แต่ปัญหาที่ซับซ้อนและหยั่งรากลึกกว่านั้น มันคือโศกนาฏกรรมของการที่ข้อมูลมหาศาลไม่ถูกแปลงเป็นคำสั่งที่เฉียบขาดได้ทันเวลา ภายใต้วัฒนธรรมการทำงานที่ต้องคอยฟังสัญญาณจากเจ้านาย และความกลัวผิดพลาดที่แช่แข็งการตัดสินใจของคนหน้างาน

ประเด็นดราม่าเรื่องระบบแจ้งเตือนภัยแบบเจาะจงพื้นที่ หรือ Cell Broadcast เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ยืนยันด้วยหลักฐานว่ามีการส่งข้อความเตือนไปยังพื้นที่สงขลาหลายครั้งในช่วงวันที่ 20-23 พฤศจิกายน แต่ทำไมเสียงสะท้อนจากชาวบ้านจำนวนมากกลับบอกว่า "ไม่รู้เรื่อง" หรือ "เตือนช้าไป"?

ทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดการแจ้งเตือนดังกล่าวกลับไม่สามารถทำให้อพยพผู้คนและสิ่งของสำคัญออกมาจากพื้นที่เกิดเหตุได้ทัน หรือทำให้ประชาชนตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสม

คำตอบคงไม่ได้อยู่ที่จำนวนครั้งที่ส่ง แต่อยู่ที่เนื้อหาและบริบทข้อความที่ส่งมาที่มีศัพท์เทคนิคเช่น "หย่อมความกดอากาศต่ำ" หรือ "ฝนตกหนักบางแห่ง" ซึ่งสำหรับชาวบ้านแล้ว คำเหล่านี้ไม่ได้กระตุ้นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดได้ดีพอ

ยิ่งไปกว่านั้น เรายังเจอกับปัญหาคลาสสิกของสังคมไทย คือ สัญญาณที่ขัดแย้งกัน ในขณะที่มือถือแจ้งเตือนมา แต่ผู้นำท้องถิ่นกลับออกมาบอกว่า "เอาอยู่" ความเชื่อมั่นจึงถูกเทไปทางผู้นำที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าข้อความจากส่วนกลาง นี่คือบทเรียนราคาแพงเรื่องการสื่อสารความเสี่ยงที่ล้มเหลว เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่การสื่อสารหวังผลทางการเมือง ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางภัยพิบัติ ความสูญเสียย่อมตามมาเสมอ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าทำไมเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน เพียงอย่างเดียวถึงไม่ใช่คำตอบ เราลองมองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เยอรมนีเมื่อปี 2564 น้ำท่วมครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมในเยอรมนีราว 180–190 คน ส่วนใหญ่ในหุบเขาแม่น้ำอาร์ และมีผู้ได้รับผลกระทบอีกหลายหมื่นคน มูลค่าความเสียหายด้านทรัพย์สินเฉพาะที่ประกันแล้วประมาณ 7,000 ล้านยูโร ยังไม่รวมความเสียหายโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจภาพรวม

แม้เยอรมันจะมีระบบเตือนภัยหรือโมเดลพยากรณ์ที่ดีเยี่ยม แต่เหตุการณ์ปี 2564 ถูกชี้ว่า เมื่อมีการประเมินต่ำไปว่าฝนครั้งนี้คือความรุนแรงเกินกว่าสถิติเดิมที่เคยรับมือมาได้  ประชาชนก็ไม่สามารถแปรข้อมูลเหล่านั้นไปสู่การตระหนักรู้และการอพยพที่ทันท่วงทีได้ โครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมารองรับฝนในรอบ 50-100 ปี จึงล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเมื่อเจอกับปริมาณน้ำฝนที่รุนแรงที่สุดครั้งใหม่

เทคโนโลยีและ AI ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะรักษาได้ทุกโรค ต่อให้เรามีระบบพยากรณ์แม่นยำล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ หรือมีระบบ Cell Broadcast ที่ส่งข้อความได้เป็นล้านฉบับ แต่ถ้าโครงสร้างการบริหารจัดการยังเป็นแบบเดิม ข้อมูลเหล่านั้นก็จะกองอยู่ตรงหน้าโดยไม่มีใครกล้าหยิบมันมาใช้ตัดสินใจ

ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากในหาดใหญ่ อีกหนึ่งกระแสที่ไหลบ่าเข้ามาไม่แพ้กันคือ "กระแสธารข้อมูล" ในหน้าจอสมาร์ตโฟนของผู้ประสบภัย วิกฤติครั้งนี้ทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งและชวนหัวจะปวดไปพร้อมกัน นั่นคือการเกิดขึ้นของ "ระบบฉุกเฉินคู่ขนาน" ที่ไม่ได้มีแค่รัฐเป็นผู้เล่นหลักอีกต่อไป แต่เป็นการระดมสรรพกำลังจากทั้งภาคเอกชน สตาร์ตอัป และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้ทักษะทางเทคโนโลยีเข้ามาช่วยกู้วิกฤติ จนกลายเป็นภาพสะท้อนว่า สังคมไทยไม่เคยขาดแคลนคนเก่งหรือเครื่องมือ แต่เรากำลังขาด "สถาปนิก" ที่จะเชื่อมร้อยทุกอย่างเข้าด้วยกัน

ในฝั่งของภาครัฐ เราเห็นการขยับตัวที่น่าสนใจของ "Traffy Fondue" ที่เดิมทีเราคุ้นเคยกันในฐานะแอปฯ ร้องเรียนเรื่องต่างๆ แต่ในวิกฤตินี้ มันถูกอัปเกรดชั่วข้ามคืนให้กลายเป็นศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ข้อดีมหาศาลคือคนไทยมีแอปฯ LINE อยู่ในเครื่องแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาโหลดใหม่ จุดที่น่าชื่นชมคือการทำงานเบื้องหลังที่มีกรุงเทพมหานคร ส่งทีมทำงานเข้ามาช่วยเป็นการคัดกรองเคสสีแดง-เหลือง-เขียว ส่งต่อให้ ปภ. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการบูรณาการข้ามหน่วยงานที่หาได้ยากในระบบราชการไทย

นอกจากนี้ยังมีภาคประชาชนและคนรุ่นใหม่ นำแพลตฟอร์มอย่าง "Jitasa.Care" (จิตอาสาดูแล) ที่ถูกปัดฝุ่นจากน้ำท่วมภาคเหนือ กลับมาทำหน้าที่ได้อย่างเป็นระบบ ระบุพิกัดและความต้องการได้ชัดเจนจนทีมกู้ภัยทหารยอมรับไปใช้งานจริง หรือกรณีของ "HatyaiTongrod" (หาดใหญ่ต้องรอด) เว็บแอปพลิเคชันฝีมือนิสิตจุฬาฯ ปี 2 ที่สร้างขึ้นง่ายๆ แต่ทรงประสิทธิภาพ ให้คนปักหมุดขอความช่วยเหลือได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนราชการที่ยุ่งยาก

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า เทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องซับซ้อนที่ต้องรอโครงการจัดซื้อจัดจ้างราคาแพง แต่เป็นเรื่องของความเร็วและความตั้งใจ ที่คนตัวเล็กๆ สามารถสร้างผลกระทบระดับมหาศาลได้

อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมีสองด้าน ความตื่นตัวของภาคประชาชนนำมาซึ่งปัญหาใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน นั่นคือ ภาวะข้อมูลแตกกระจาย ในช่วงวิกฤติ หน้าฟีดโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยลิงก์ขอความช่วยเหลือเป็นสิบๆ เว็บ ทั้งจากเพจดัง สื่อมวลชน และกลุ่มอาสา จนผู้ประสบภัยเกิดความสับสนว่า "ฉันต้องกรอกเว็บไหน?" "กรอกเว็บนี้แล้วกู้ภัยจะเห็นไหม?" หรือ "ต้องกรอกทุกเว็บเลยหรือเปล่า?" ผลที่ตามมาคือข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ทีมกู้ภัยทีมแรกเข้าไปช่วยแล้ว แต่ข้อมูลในอีก 3 เว็บยังขึ้นสถานะรอความช่วยเหลือ ทำให้ทีมอื่นวิ่งเข้าไปเก้อ เสียทรัพยากรและเวลาที่มีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์

นอกจากนี้ เทคโนโลยีล้ำสมัยทั้งหมดยังต้องเจอกับปัญหาพื้นฐานอย่างสัญญาณอินเทอร์เน็ต ทันทีที่ไฟดับและเสาสัญญาณล่ม ยิ่งไปกว่านั้น เรายังหลงลืมกลุ่มเปราะบางอย่างผู้สูงอายุที่ใช้สมาร์ตโฟนไม่คล่อง หรือไม่มีอินเทอร์เน็ต พวกเขาตกสำรวจจาก "แผนที่ดิจิทัล" เหล่านี้โดยสิ้นเชิง กลายเป็นผู้ประสบภัยที่มองไม่เห็นในโลกออนไลน์ ซึ่งต้องอาศัยเพื่อนบ้านหรืออาสาสมัครคอยกรอกข้อมูลแทน ย้ำเตือนให้เรารู้ว่าเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือทุ่นแรง แต่ไม่ใช่ทางรอดเดียวสำหรับทุกคน

วิกฤติหาดใหญ่ 2568 สอนให้รู้ว่า ประเทศไทย ไม่ได้ขาดเทคโนโลยีหรือคนทำแพลตฟอร์ม ตรงกันข้าม เรามีความสามารถสูงมากทั้งภาครัฐเอกชน นิสิตนักศึกษา และอาสาสมัคร  แต่สิ่งที่เราขาดคือผู้นำที่จะมากำหนดจังหวะและทิศทาง ว่าในภาวะวิกฤต เราจะใช้แพลตฟอร์มไหนเป็นแกนหลัก และจะเชื่อมต่อข้อมูลจากแพลตฟอร์มอาสาเข้ามาที่ส่วนกลางอย่างไรให้ไร้รอยต่อ

อนาคตของการกู้ภัยของประเทศไทย ไม่ใช่การแข่งกันสร้างแอปฯ ใหม่เพิ่มขึ้น แต่คือการสร้างมาตรฐานกลาง และจะซ้อมระบบเหล่านี้ก่อนเกิดภัยจริงอย่างไร เพื่อให้เมื่อภัยมาถึง ทุกคนจะรู้หน้าที่และทำงานร่วมกันอย่างไร ไม่ใช่ต่างคนต่างเล่นจนทำงานไม่ประสานกันอย่างที่ผ่านมา เพราะในวินาทีแห่งความเป็นความตาย ข้อมูลที่แม่นยำและการประสานงานที่เป็นหนึ่งเดียว มีค่ามากกว่าทองคำ