ศาลสหรัฐตัดสิน Meta ไม่ได้ผูกขาดตลาดโซเชียล ยังถือ Instagram - WhatsApp ได้ต่อ

ศาลสหรัฐตัดสิน Meta ไม่ได้ผูกขาดตลาดโซเชียล ยังถือ Instagram - WhatsApp ได้ต่อ

เมตา (Meta) ชนะคดีผูกขาด ไม่ต้องแยกกิจการ Instagram และ WhatsApp ศาลสหรัฐตัดสินว่า แพลตฟอร์มไม่ได้โดดเด่น เนื่องจาก TikTok และ YouTube ยังเป็นคู่แข่งหลักของตลาดโซเชียล

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐมีคำตัดสินว่า เมตาไม่ได้ผูกขาดตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้สามารถเป็นเจ้าของ Instagram และ WhatsApp ต่อไปได้
  • คำตัดสินดังกล่าวเป็นการปฏิเสธคำร้องของคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหรัฐ (FTC) ที่ต้องการบังคับให้เมตาแยกกิจการทั้งสองออกไป
  • ศาลให้เหตุผลว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของคู่แข่งอย่าง TikTok และบทบาทของ YouTube ได้จำกัดอำนาจของเมตาในตลาด
  • FTC แสดงความผิดหวังต่อคำตัดสิน และระบุว่ากำลังทบทวนทางเลือกในการดำเนินการต่อไป

เมื่อวันที่ 18 พ.ย.68 ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐได้มีคำตัดสินว่า บริษัท Meta (เจ้าของ Facebook) ไม่ได้เป็นผู้ผูกขาดในตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์ก ส่งผลให้คำร้องของคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหรัฐ (FTC) ที่ต้องการบังคับให้ Meta แยกกิจการ Instagram และ WhatsApp ถูกปฏิเสธ ตามการรายงานของเดอะการ์เดียน และซีเอ็นเอ็น

คดีนี้เริ่มจากเอฟทีซียื่นฟ้องเมตาในปี 2563 โดยกล่าวว่าบริษัทละเมิดกฎหมายแข่งขันทางการค้า ด้วยการซื้อกิจการ Instagram (ปี 2555 ราคา 1 พันล้านดอลลาร์) และ WhatsApp (ปี 2557 ราคา 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตในขณะนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันโดยตรง 

การพิจารณาคดีต่อเนื่อง 7 สัปดาห์ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเมตา ที่ให้การว่าแพลตฟอร์มของบริษัทยังแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง YouTube และ TikTok

เจมส์ โบสเบิร์ก (James Boasberg) ผู้พิพากษา ระบุในคำวินิจฉัยว่า ตลาดโซเชียลมีเดียเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เอฟทีซียื่นฟ้อง โดยเฉพาะการเติบโตเร็วของ TikTok และบทบาทของ YouTube ที่มีส่วนจำกัดอำนาจของเมตา ทำให้บริษัทไม่เข้าข่ายผูกขาด นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของคอนเทนต์ที่สร้างด้วยปัญญาประดิษฐ์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เหตุผลของเอฟทีซีอ่อนลง

คำวินิจฉัยระบุว่า แอปในเครือเมตาครองนั้นมีสัดส่วนเวลาใช้งานเพียงระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มทั้งหมด ทั้ง Facebook, Instagram, Snapchat, MeWe, TikTok และ YouTube และแนวโน้มสัดส่วนดังกล่าวลดลงต่อเนื่อง โดยตัวเลขสัดส่วนถูกปิดไว้ในเอกสาร

โบสเบิร์ก เขียนว่า TikTok ซึ่งเมตามองว่าเป็นคู่แข่งหลัก เข้าสู่ตลาดเพียงเจ็ดปีก่อน แต่ขยายตัวเร็วมากจนมีอิทธิพลสูง และแม้ไม่นับ YouTube การมีอยู่ของ TikTok เพียงรายเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เอฟทีซีไม่สามารถพิสูจน์การผูกขาดได้

ด้านเอฟทีซีแสดงความไม่พอใจต่อคำตัดสิน โจ ไซมอนสัน (Joe Simonson) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารสาธารณะของหน่วยงาน ระบุว่า เอฟทีซีผิดหวังอย่างยิ่ง และกำลังทบทวนทางเลือกต่อไป โดยกล่าวถึงกระบวนการพิจารณาว่าไม่เป็นคุณต่อเอฟทีซีตั้งแต่ต้น

หากศาลตัดสินให้แยกกิจการจะเกิดผลกระทบขนาดใหญ่ เนื่องจาก Instagram เป็นแหล่งรายได้โฆษณาหลักของเมตา ขณะที่ WhatsApp มีบทบาทสำคัญในตลาดต่างประเทศ ทั้งในบริการสื่อสาร และระบบสมัครใช้งานเชิงธุรกิจ แม้เมตาจะมีรายงานผู้ใช้งานต่อวันกว่า 3.3 พันล้านคน แต่ซักเคอร์เบิร์กให้การว่าความนิยมของ Facebook ลดลงต่อเนื่อง

เจนนิเฟอร์ นิวสเตด (Jennifer Newstead) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของเมตา ระบุผ่านแถลงการณ์ของโฆษก นเคชี เอ็นเนจิ (Nkechi Nneji) ว่า “คำตัดสินวันนี้สะท้อนให้เห็นว่าเมตาต้องแข่งขันอย่างเข้มข้น บริษัทจะเดินหน้าทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐต่อไป”

อย่างไรก็ตาม คำตัดสินนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการดำเนินคดีต่อต้านการผูกขาดต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในสหรัฐหลายราย โดย Google ถูกตัดสินว่าผูกขาดทั้งในตลาดค้นหา และโฆษณาออนไลน์ ขณะที่ Apple และ Amazon ยังอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีลักษณะเดียวกัน

ฝ่ายเอฟทีซี ระบุว่า เมตาเคยกังวลต่อการแข่งขันจาก Instagram และ WhatsApp ก่อนตัดสินใจซื้อกิจการ โดยอ้างอิงจากอีเมล และเอกสารภายในบริษัท แต่เมตายืนยันว่าการซื้อกิจการทั้งสองครั้งผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลเมื่อหลายปีก่อน และการแยกกิจการในตอนนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของเทคโนโลยีสหรัฐในตลาดโลก

ทั้งนี้ ศาลสรุปว่า เอฟทีซีไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเมตายังมีอำนาจเหนือตลาดในปัจจุบัน แม้จะมีคำถามว่าอดีตเมตาเคยมีอำนาจเหนือคู่แข่งหรือไม่ก็ตาม จึงมีคำตัดสินไม่รับคำร้องให้บังคับแยก Instagram และ WhatsApp

 

 

อ้างอิง: The Guardian และ CNN

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์