Yann LeCun นักวิทยาศาสตร์ใหญ่แห่งเมตา เตรียมลาออกมาตั้งสตาร์ตอัป AI ของตนเอง

ยาน เลอเกิง (Yann LeCun) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ของเมตา มีแผนลาออก เพื่อมาก่อตั้งสตาร์ตอัป AI ของตนเอง มุ่งพัฒนาเอไอแบบ World Model หลังมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กปรับโครงสร้างบริษัท
KEY
POINTS
- ยาน เลอเกิง หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านเอไอของเมตา มีแผนจะลาออกเพื่อก่อตั้งบริษัทสตาร์ตอัปของตนเอง
- สตาร์ตอัปใหม่จะมุ่งเน้นการพัฒนาเอไอแบบ “เวิลด์โมเดล” (World Model) ที่สามารถเข้าใจโลกจริงผ่านการเรียนรู้จากข้อมูลภาพและพื้นที่
- การตัดสินใจลาออกเกิดขึ้นหลังเมตาปรับโครงสร้างองค์กรด้านเอไอ โดยหันไปเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งมากขึ้น
ตามการรายงานของไฟแนนเชียลไทม์ส ยาน เลอเกิง (Yann LeCun) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ของ เมตา (Meta) มีแผนจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อก่อตั้งบริษัทสตาร์ตอัปของตนเอง หลังจากที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของเมตา ปรับโครงสร้างงานด้านเอไอครั้งใหญ่ของบริษัท
แหล่งข่าวระบุว่า เลอเกิง เป็นนักวิทยาศาสตร์ลูกครึ่งฝรั่งเศส-อเมริกัน และเป็นผู้ได้รับรางวัล A.M. Turing Award หนึ่งในรางวัลสูงสุดของวงการคอมพิวเตอร์ ได้บอกกับผู้ใกล้ชิดว่า เขามีแผนจะออกจากบริษัทในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และกำลังเริ่มต้นพูดคุยเพื่อระดมทุนสำหรับโครงการใหม่ที่มุ่งพัฒนาเอไอแบบ “เวิลด์โมเดล” (World Model)
เวิลด์โมเดลเป็นเอไอที่สามารถสร้างความเข้าใจเชิงโครงสร้างของโลกจริง และคาดการณ์ผลลัพธ์ของเหตุการณ์ต่างๆ ได้ผ่านการเรียนรู้จากข้อมูลภาพและพื้นที่ แทนที่จะเรียนรู้จากภาษาข้อความเพียงอย่างเดียว
เลอเกิงยังคงทำหน้าที่เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ควบคู่ไปกับงานในเมตา ซึ่งเขาเข้าร่วมตั้งแต่ปี 2566 เพื่อก่อตั้งและบริหารห้องวิจัย Fundamental AI Research (FAIR) ที่มุ่งเน้นการวิจัยระยะยาวด้านปัญญาประดิษฐ์
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมา เมตาภายใต้การนำของซักเคอร์เบิร์กได้เปลี่ยนทิศทางจากงานวิจัยระยะยาวของ FAIR มาสู่การพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์เอไอเชิงพาณิชย์ที่รวดเร็วขึ้น หลังจากบริษัทประเมินว่าตนตามหลังคู่แข่งอย่าง โอเพนเอไอ (OpenAI), กูเกิล (Google) และแอนโทรปิก (Anthropic)
ซักเคอร์เบิร์กได้ว่าจ้าง อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexandr Wang) ผู้ก่อตั้งบริษัทด้านการติดป้ายข้อมูล สเกลเอไอ (Scale AI) ให้มานำทีม Meta Superintelligence Lab โดยเมตาลงทุนกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหุ้น 49% ของสเกลเอไอ และดึงหวังมาร่วมพัฒนาเทคโนโลยีเอไอขั้นสูงให้กับบริษัท
นอกจากนี้ เขายังตั้งทีมลับขนาดเล็กชื่อ TBD Lab เพื่อพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่รุ่นถัดไป โดยดึงบุคลากรจากโอเพนเอไอและกูเกิล พร้อมเสนอค่าตอบแทน 100 ล้านดอลลาร์ต่อคน
หลังการปรับโครงสร้างดังกล่าว เลอเกิง ซึ่งเคยทำหน้าที่รายงานตรงต่อหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัท คริส ค็อกซ์ (Chris Cox) ต้องเปลี่ยนมารายงานตรงต่อหวัง ขณะที่โครงการวิจัยระยะยาวของ FAIR ถูกลดบทบาทลง
การเปลี่ยนทิศทางครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเมตาประสบความล้มเหลวในการเปิดตัวโมเดลเอไออย่าง Llama 4 ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าของคู่แข่ง และแชตบอต Meta AI ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในตลาดผู้ใช้ทั่วไป นักลงทุนเลยกดดันให้ซักเคอร์เบิร์กพิสูจน์ว่า เงินลงทุนมหาศาลนั้นจะคืนทุนได้จริง
เดือนตุลาคม 2568 หุ้นของเมตาลดลง 12.6% หรือมูลค่ากว่า 240,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากซีอีโอประกาศว่าจะเพิ่มงบประมาณด้านเอไอ ซึ่งอาจสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ในปีหน้า
ตลอดปีที่ผ่านมา เมตาประสบกับการเปลี่ยนแปลงภายในหลายครั้ง รวมถึงการลาออกของ โจแอล ปิเนา (Joelle Pineau) รองประธานฝ่ายวิจัยเอไอ ซึ่งย้ายไปยังสตาร์ตอัปของแคนาดา Cohere ในเดือนพฤษภาคม และการเลิกจ้างพนักงานราว 600 คนจากฝ่ายวิจัยเอไอเพื่อปรับลดต้นทุนและลดขั้นตอนการบริหาร
ขณะเดียวกัน เมตายังดึงบุคลากรใหม่เข้ามาด้วยค่าจ้างระดับสูง เช่น เซิ่งเจีย เจ้า (Shengjia Zhao) หนึ่งในผู้ร่วมสร้าง ChatGPT ของโอเพนเอไอ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Meta Superintelligence Lab เมื่อเดือนกรกฎาคม
สำหรับแนวคิดเวิลด์โมเดลที่เลอเกิงกำลังพัฒนา เขาเชื่อว่า นี่คือก้าวสำคัญในการสร้างเอไอที่เข้าใจโลกจริง และคิดวิเคราะห์ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากกว่าโมเดลภาษาที่เมตากำลังพัฒนาอยู่
เขาเคยแสดงความเห็นในโพสต์บน X (ทวิตเตอร์เดิม) ว่า “ก่อนที่เราจะพูดถึงการควบคุมเอไอที่ฉลาดกว่ามนุษย์ เราควรจะเริ่มจากการออกแบบระบบที่ฉลาดกว่าบ้านแมวเสียก่อน”
โครงการใหม่ของเลอเกิงคาดว่าจะมุ่งต่อยอดงานวิจัยด้านเวิลด์โมเดลต่อไป โดยอาจใช้เวลานานถึงหนึ่งทศวรรษในการพัฒนาให้สมบูรณ์ ทั้งนี้ เมตายังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการลาออกของเขาในครั้งนี้
เลอเกิงผลักดันแนวคิดโอเพนซอร์ส
เลอเกิงเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่ออกมาสนับสนุนแนวทางโอเพนซอร์ส (Open Source) ในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยเขาเชื่อว่าการเปิดให้สาธารณะเข้าถึงโมเดลและงานวิจัย จะเป็นหนทางที่ทำให้เอไอพัฒนาได้อย่างโปร่งใสและก้าวหน้ารวดเร็วกว่าการพัฒนาในระบบปิดของบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่ราย
เลอเกิงเคยให้สัมภาษณ์กับไวร์ดว่า “เราไม่ควรปล่อยให้เอไอของโลกอยู่ในมือของบริษัทเพียงไม่กี่แห่งบนชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐ” พร้อมระบุว่า การเปิดโค้ดและแบ่งปันองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีจะช่วยสร้างความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม ลดความเสี่ยงจากการผูกขาดเทคโนโลยีโดยกลุ่มทุนรายใหญ่
แนวคิดดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาการทำงานของเลอเกิงในฐานะหัวหน้าทีม FAIR ของเมตา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผลักดันการเปิดเผยโมเดลและเครื่องมือให้ชุมชนนักวิจัยทั่วโลกเข้าถึงได้ ก่อนที่ทิศทางของบริษัทจะเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์มากขึ้นภายใต้การนำของซักเคอร์เบิร์ก
อ้างอิง: Financial Times Techcrunch Business Insider และ Wired







