OpenAI มีอะไรใหม่? สรุปไฮไลต์ DevDay 2025 เปลี่ยน ChatGPT เป็นแพลตฟอร์มครบวงจร

OpenAI เปิดตัวเครื่องมือใหม่หลายรายการในงาน DevDay 2025 โดยมีผู้ใช้ ChatGPT สัปดาห์ละ 800 ล้านคน
KEY
POINTS
- OpenAI เปิดตัวเครื่องมือใหม่ในงาน DevDay 2025 โดยมีผู้ใช้ ChatGPT สัปดาห์ละ 800 ล้านคน
- Apps SDK เปลี่ยน ChatGPT ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนาสามารถสร้างแอปให้ทำงานได้โดยตรงภายในหน้าต่างแชต
- AgentKit ชุดเครื่องมือสำหรับสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะ (AI Agent) เพื่อทำงานซับซ้อนแทนมนุษย์ในภาคธุรกิจได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
- GPT5-Codex สำหรับงานเขียนโค้ดขั้นสูง ที่สามารถทำงานร่วมกับเครื่องมืออื่นอย่าง Slack และจัดการระบบอัตโนมัติในองค์กร
- โมเดลเอไอเฉพาะทางใหม่ๆ เช่น GPT5 Pro สำหรับงานเฉพาะด้าน (การแพทย์, การเงิน), GPT-Realtime-Mini สำหรับงานเสียง และ Sora 2 สำหรับสร้างวิดีโอ
OpenAI จัดงาน DevDay 2025 ณ ซานฟรานซิสโก มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดตัวเครื่องมือใหม่สำหรับนักพัฒนาและผู้สร้างสรรค์
แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ประธานกรรมการบริหาร OpenAI กล่าวว่า ปัจจุบัน OpenAI มีนักพัฒนากว่า 4 ล้านคน และผู้ใช้ ChatGPT สัปดาห์ละ 800 ล้านคน การใช้งาน API สูงถึง 6 พันล้านโทเคนต่อหนึ่งนาที
สำหรับงานปีนี้ OpenAI เปิดตัวนวัตกรรมหลายรายการ ตั้งแต่ Apps SDK ที่เปิดทางให้นักพัฒนาสร้างแอปภายใน ChatGPT ได้โดยตรง, AgentKit เครื่องมือสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะ (AI Agent) สำหรับภาคธุรกิจ, ไปจนถึง GPT5-Codex รุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อเขียนโค้ดและจัดการระบบอัตโนมัติในองค์กร
Apps SDK: สร้างแอปใน ChatGPT ได้ทันที
OpenAI กำลังผลัก ChatGPT จากการเป็นเพียงแค่แชตตอบคำถาม ให้กลายเป็น แพลตฟอร์มที่สามารถเรียกใช้งานแอปต่างๆ ได้ภายในแชตเดียว ผ่านเครื่องมือใหม่อย่าง “Apps SDK”
แนวคิดของระบบนี้คือ การทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างแอปหลายตัวอีกต่อไป แต่สามารถทำงานทุกอย่างได้จากหน้าต่างแชตของ ChatGPT โดยตรง
เมื่อมีนักพัฒนาสร้างแอปขึ้นมา แอปเหล่านั้นจะสามารถปรากฏภายในแชตและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบ conversation-based หรือพูดง่ายๆ ว่า แชตและแอปจะทำงานร่วมกันเหมือนเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท เช่น ถ้าต้องการจองโรงแรม ChatGPT จะสามารถเรียกแอปอย่าง Booking.com ขึ้นมาในแชตให้เลือกและจองได้ทันที ไม่ต้องเปิดเว็บหรือแอปอื่นๆ
ตัวอย่างแอปที่พร้อมใช้งานแล้ว ได้แก่ Booking.com, Canva, Coursera, Expedia, Figma, Spotify และ Zillow ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ ตั้งแต่จองที่พัก สร้างงานออกแบบ เรียนออนไลน์ ไปจนถึงจัดเพลย์ลิสต์เพลง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการสื่อสารกับ ChatGPT เพียงช่องทางเดียว
ในอนาคต OpenAI วางแผนขยายฟีเจอร์นี้ไปยัง ChatGPT ธุรกิจ (Business), องค์กร (Enterprise) และการศึกษา (Education) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักพัฒนาส่งแอปของตัวเองขึ้นแพลตฟอร์มได้ และยังสนับสนุนให้เอไอทำธุรกรรมแทนผู้ใช้ได้โดยตรง (Agentic Commerce Protocol) ทำให้ผู้ใช้สามารถซื้อของหรือทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากแชต
AgentKit: เครื่องมือสร้าง AI Agent
AgentKit คือ ชุดเครื่องมือครบวงจรของ OpenAI สำหรับนักพัฒนาที่อยากสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในกระบวนการซับซ้อนต่างๆ ตั้งแต่การตอบคำถามลูกค้า การค้นคว้าข้อมูล ไปจนถึงการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่
Open AI รายงานว่า จุดเด่นของ AgentKit คือช่วยให้การสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว แม้สำหรับผู้ที่ไม่ถนัดเขียนโค้ด
เครื่องมือหลักของ AgentKit เริ่มจาก Agent Builder ซึ่งเป็นแผงควบคุมแบบภาพที่ให้นักพัฒนาลาก-วางเพื่อออกแบบตรรกะของเอเจนต์ได้โดยตรง สามารถสร้าง workflow ของเอเจนต์ ตั้งเงื่อนไขต่างๆ หรือกำหนดกฎการทำงานเฉพาะ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดยาวๆ ทำให้ทีมวิศวกร ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และฝ่ายกฎหมายสามารถทำงานร่วมกันได้บนอินเตอร์เฟซเดียว
ต่อมา Connector Registry ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางจัดการข้อมูลของเอเจนต์ ช่วยให้ผู้ช่วยอัจฉริยะสามารถเข้าถึงระบบภายนอก เช่น Dropbox, Google Drive, SharePoint หรือ Microsoft Teams ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ทำให้เอเจนต์สามารถดึงข้อมูลจริงมาใช้ตัดสินใจหรือทำงานได้แบบเรียลไทม์
อีกส่วนคือ ChatKit ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับฝังระบบแชตโต้ตอบลงในเว็บหรือแอปของตัวเอง ช่วยให้ผู้ใช้สื่อสารกับเอเจนต์ได้เหมือนแชตกับมนุษย์จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการถามข้อมูล สั่งงาน หรือรับคำแนะนำ ทำให้ประสบการณ์การใช้งานเป็นธรรมชาติและราบรื่น
สุดท้าย Evals เป็นระบบวัดประสิทธิภาพของเอเจนต์แบบอัตโนมัติ สามารถตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบ ประเมิน workflow ของเอเจนต์ และปรับปรุงให้เอไอทำงานได้ดีขึ้นตามเวลา ตัวอย่างเช่น หากเอเจนต์ตอบคำถามผิดหรือช้า ระบบจะบันทึกและปรับปรุงการทำงานให้ฉลาดและแม่นยำขึ้น
GPT5-Codex: สำหรับงานโค้ดดิ้ง
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานปีนี้คือ GPT5-Codex ซึ่งเป็นโมเดลเอไอสำหรับงานโค้ดดิ้งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยนักพัฒนาและองค์กรในการทำงานเชิงลึก
OpenAI อธิบายว่า GPT5-Codex ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนโค้ดอัตโนมัติ แต่สามารถทำงานร่วมกับ อุปกรณ์จริง และจัดการ workflow ขนาดใหญ่ในระดับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟีเจอร์เด่นที่เปิดตัวใหม่ ได้แก่
- Slack Integration ช่วยให้ทีมสามารถสั่งงาน Codex หรือถามคำถามเกี่ยวกับโค้ดได้ตรงจากช่องแชตใน Slack โดย Codex จะดึงบริบทจากข้อความในแชตมาใช้ทำงาน ทำให้การสื่อสารระหว่างทีมและเอไอราบรื่น
- Codex SDK เปิดให้นักพัฒนาฝัง Codex ลงในเครื่องมือ แอป หรือ workflow ขององค์กร ทำให้เอไอทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม
- Admin Tools สำหรับผู้ดูแลระบบองค์กร ทำให้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อม ติดตามการทำงาน และวิเคราะห์ประสิทธิภาพ Codex ได้อย่างชัดเจน
โมเดล OpenAI เฉพาะด้าน
OpenAI ยังเปิดตัว โมเดลเอไอเฉพาะด้าน เพื่อตอบโจทย์งานเชิงลึกแต่ละสาขา ได้แก่
- GPT5 Pro โมเดลสำหรับงานเฉพาะด้าน เช่น การแพทย์ การเงิน และกฎหมาย มีความสามารถในการวิเคราะห์และให้คำตอบที่แม่นยำในสาขาที่ต้องการความละเอียดสูง
- GPT-Realtime-Mini โมเดลเสียงราคาประหยัด สำหรับแอปหรือระบบที่ต้องการโต้ตอบด้วยเสียง ทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับเอไอได้แบบเรียลไทม์
- Sora 2 โมเดลสร้างวิดีโอเชิงภาพยนตร์ สามารถปรับผลลัพธ์ด้านภาพและเสียงตามความต้องการ เหมาะกับงานด้านการศึกษา การตลาด หรือสื่อบันเทิง
โดยรวม OpenAI ต้องการช่วยให้นักพัฒนาเขียนโค้ดได้ง่ายขึ้น และยังขยายขอบเขตการใช้งานเอไอไปสู่งานเชิงลึกและงานสร้างสรรค์ที่ซับซ้อน อัลท์แมน กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของ OpenAI คือการทำให้ “เอไอเป็นรากฐานของการสร้างสรรค์” ซึ่งจะทำให้นักพัฒนาและผู้สร้างสรรค์ทั่วโลกสามารถต่อยอดแนวคิดได้รวดเร็วขึ้น







