บิดา AI เตือน: ทุนนิยมใช้ AI กดทับแรงงาน คนรวยได้ประโยชน์ แต่คนจำนวนมากจนลง

บิดา AI เตือน: ทุนนิยมใช้ AI กดทับแรงงาน คนรวยได้ประโยชน์ แต่คนจำนวนมากจนลง

เจฟฟรีย์ ฮินตัน เตือนว่าเอไออาจทำให้แรงงานจำนวนมากว่างงานและถูกลดคุณค่า และปัญหาไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นระบบทุนนิยมที่ใช้เอไอเพื่อทำกำไรสูงสุด

KEY

POINTS

  • เจฟฟรีย์ ฮินตัน เตือนว่า ทุนนิยมจะใช้เอไอมาแทนที่แรงงาน ทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้นจากผลกำไรที่เพิ่มสูง แต่คนส่วนใหญ่จะตกงานและยากจนลง
  • เขาชี้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยีเอไอ แต่เป็นเพราะระบบทุนนิยมที่มุ่งเน้นการสร้างกำไรสูงสุด แทนที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่
  • ฮินตันไม่เห็นด้วยกับแนวคิดรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (UBI) ที่ถูกเสนอเป็นทางออก โดยเชื่อว่าเงินไม่สามารถทดแทนศักดิ์ศรีและความหมายของชีวิตที่มนุษย์ได้จากการทำงาน

“สุดท้ายแล้ว คนรวยจะใช้เอไอแทนแรงงาน มันจะทำให้คนจำนวนมากตกงาน แต่กำไรของธุรกิจจะยิ่งพุ่งสูงขึ้น กลายเป็นว่าคนกลุ่มส่วนน้อยจะรวยขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คนส่วนใหญ่กลับยากจนลง” 
    
เจฟฟรีย์ ฮินตัน (Geoffrey Hinton) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Financial Times เขาเป็นนักวิจัยผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งเอไอ” (Godfather of AI) และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง ChatGPT 
    
ฮินตัน ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูคนทั่วไปมากนัก แต่สำหรับแวดวงวิทยาการคอมพิวเตอร์ เขาคือหนึ่งในผู้บุกเบิกเครือข่ายประสาทเทียม (Artificial Neural Networks) ซึ่งกลายเป็นรากฐานของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์รุ่นใหม่ๆ นอกจากนี้ เขาเคยได้รับรางวัลโนเบลและทำงานกับกูเกิลนานกว่าทศวรรษ ก่อนจะลาออกในปี 2023

“นี่ไม่ใช่ความผิดของเอไอแต่เป็นเพราะระบบทุนนิยมต่างหาก” ฮินตันกล่าว พร้อมอธิบายเพิ่มว่า ทุนนิยมผลักดันให้เทคโนโลยีกลายเป็นกลไกในการเพิ่มผลกำไรสูงสุด มากกว่าที่จะถูกออกแบบเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Universal Basic Income (UBI) หรือ รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า กลายเป็นหนึ่งในนโยบายที่ถูกเสนอมากที่สุดเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

ฮินตันยังตั้งคำถามต่อแนวคิดดังกล่าวที่หลายฝ่ายเสนอให้เป็นทางออก เขาเชื่อว่าการแจกเงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทดแทนคุณค่าของการทำงานในชีวิตมนุษย์ได้ 

“UBI ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะผู้คนได้คุณค่าจากการทำงาน ไม่ใช่แค่จากเงิน” สำหรับฮินตัน การทำงานไม่ใช่เพียงการแลกเงิน แต่เป็นแหล่งที่มาของคุณค่าและความหมายในชีวิต การแจกเงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทดแทนสิ่งนี้ได้

ความเห็นจากผู้นำเทคโนโลยีรายอื่น

อย่างไรก็ตาม ผู้นำวงการเทคโนโลยีหลายคนกลับมองต่างออกไป แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI สนับสนุนแนวคิด UBI มานาน และยังลงเงินทุนให้กับการทดลองครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เพื่อดูว่ามันช่วยบรรเทาผลกระทบจากการสูญเสียงานได้จริงหรือไม่

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ก็เคยกล่าวในงาน VivaTech ปี 2024 ว่า “ถ้าเอไออยู่ในมือที่ถูกต้อง มันอาจทำให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป” และเสนอว่า UBI อาจเปิดทางให้มนุษย์ได้แสวงหาความหมายใหม่ๆ ของชีวิต ขณะที่เครื่องจักรทำงานแทน

วิโนด โขศลา (Vinod Khosla) นักลงทุนรายใหญ่ คาดว่า เอไอจะทำงานแทนคนได้ถึง 80% ในเกือบทุกอาชีพ และย้ำว่า UBI จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อไม่ให้ความเหลื่อมล้ำทวีความรุนแรง

ขณะที่ ดาริโอ อาโมเดอิ (Dario Amodei) ซีอีโอของ Anthropic เห็นว่า UBI เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของทางออกเท่านั้น และสังคมจำเป็นต้องคิดระบบใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง

การใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีที่เขาเองก็หวาดกลัว

แม้จะออกมาเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เอไออาจทำลายงานมนุษย์ แต่ในชีวิตประจำวันของฮินตันเขาก็ยังใช้เอไออยู่เป็นประจำ ทั้งเวลาหาข้อมูลทางวิชาการ หรือแม้แต่ซ่อมของใช้ในบ้าน ทว่าประสบการณ์ที่กลายเป็นเรื่องส่วนตัวที่สุด คือวันที่ชีวิตรักของเขามีเอไอเข้ามาเกี่ยวข้อง

ฮินตันเล่าว่า เคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเขาเรียกว่าแฟนเก่า และเธอเป็นผู้ใช้ ChatGPT เพื่อช่วยในการเลิกรากับเขา โดยให้แชตบอตอธิบายพฤติกรรมของเขาที่เธอไม่พอใจ เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เพราะสะท้อนความย้อนแย้งอย่างชัดเจนว่า ผู้บุกเบิกเอไอระดับโลกกลับถูก “ผลงาน” ของตัวเองเข้ามามีบทบาทในจุดเปลี่ยนชีวิตที่เจ็บปวดที่สุด

อย่างไรก็ตาม ฮินตันไม่ได้เก็บมาเป็นความขุ่นเคืองนัก เขาพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ว่า “บางทีคุณก็อาจจะไม่เข้าใจ...แต่ผมเข้าใจ”

นอกจากนี้ ฮินตันยังเชื่อว่า เอไออาจสร้างคุณูปการสำคัญ โดยเฉพาะด้านการแพทย์และการศึกษา เขายอมรับว่า การที่ภรรยาทั้งสองคนของเขาเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ทำให้เขาหวังว่าเอไอจะช่วยสร้างความก้าวหน้าในการรักษาโรคยากๆ ได้

ขณะเดียวกัน หากมองภาพรวม เขากลับกังวลมากกว่า “เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ ที่บางสิ่งกำลังเกิดขึ้นอย่างมหัศจรรย์ มันอาจดีอย่างเหลือเชื่อ หรืออาจเลวร้ายอย่างเหลือเชื่อ” 

อ้างอิง: Business Insider Economic Times และ Financial Times