Meta ทุ่ม 250 ล้านดอลลาร์ ดึงตัว Matt Deitke นักวิจัย วัย 24 ปีร่วมทีมเอไอ

Meta ยอมจ่าย 250 ล้านดอลลาร์ดึงตัว Matt Deitke นักวิจัยเอไอดาวรุ่ง เสียงวิจารณ์ดังขึ้นทันทีว่าเงินก้อนมหาศาลกำลังตกอยู่ในมือคนส่วนน้อย ขณะที่แรงงานอีกมากถูกละเลย
KEY
POINTS
- เมตาทุ่มเงิน 250 ล้านดอลลาร์ (ราว 8.1 พันล้านบาท) เพื่อดึงตัว แมตต์ ไดท์คี นักวิจัยเอไอ วัย 24 ปี เข้าร่วมทีมพัฒนาเอไอขั้นสูง
- ไดท์คีเคยปฏิเสธข้อเสนอแรกมูลค่า 125 ล้านดอลลาร์ ก่อนที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จะเข้ามาเจรจาด้วยตนเอง และเพิ่มมูลค่าเป็นสองเท่า
- ไดท์คีมีผลงานพัฒนาเอไอแบบมัลติโมดอล ที่สามารถประมวลผลข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบพร้อมกันทั้งภาพ เสียง และข้อความ
- การแย่งชิงบุคลากรด้านเอไอมีความรุนแรงสูง เปรียบเสมือนตลาดซื้อขายนักกีฬา โดยเมตาได้ใช้งบประมาณกว่าพันล้านดอลลาร์เพื่อดึงตัวผู้เชี่ยวชาญ
ตามการรายงานของนิวยอร์กโพสต์ เมตา (Meta) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยอมจ่าย 250 ล้านดอลลาร์ หรือราว 8.1 พันล้านบาท เพื่อดึงตัว แมตต์ ไดท์คี (Matt Deitke) นักวิจัยเอไอวัย 24 ปี มาร่วมทีมพัฒนา “ปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง” หรือที่บริษัทเรียกว่า ซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์ (Superintelligence)
ไดท์คี มีประวัติการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ตอัปเวอร์เซป (Vercept) ระยะแรกเขาปฏิเสธข้อเสนอเริ่มต้นของเมตาที่เสนอค่าตอบแทนราว 125 ล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปี โดยให้เหตุผลว่ายังอยากทำงานกับสตาร์ตอัปของตนเอง
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ประธานกรรมการบริหารเมตาลงไปเจรจาข้อเสนออีกครั้งกับไดท์คี จากนั้นมูลค่าดีลก็ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 250 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน และมีโอกาสรับมากถึง 100 ล้านดอลลาร์ภายในปีแรกเพียงปีเดียว ทำให้ไดท์คียอมตอบตกลง
สื่อสหรัฐเปรียบกระแสการแย่งชิงนักวิจัยเอไอตอนนี้ไม่ต่างจากตลาดซื้อขายนักกีฬาดังใน NBA หรือ NFL เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่พร้อมทุ่มเงินเกินร้อยล้านดอลลาร์เพื่อแลกกับคนไม่กี่สิบคนที่มีทักษะเฉพาะทาง ซึ่งในวงการเอไอมีอยู่อย่างจำกัดมาก
กรณีไดท์คีไม่ใช่ครั้งแรก เมตาใช้งบไปแล้วมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อล่าตัวคนเก่งเอไอรวมถึงการดึง รัวหมิง ปาง (Ruoming Pang) อดีตหัวหน้าทีมโมเดลเอไอของแอปเปิ้ล (Apple) ด้วยแพ็กเกจค่าตอบแทนที่ว่ากันว่ามากกว่า 200 ล้านดอลลาร์
เมตายังประกาศว่าในปี 2025 จะเพิ่มงบลงทุนขึ้นเป็น 72,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อนถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมทัพโครงสร้างพื้นฐานและทีมวิจัยเอไอ
ประวัติและผลงานแมตต์ ไดท์คี
ไดท์คี เคยทำงานที่ Allen Institute for AI ในเมืองซีแอตเทิล ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยปัญญาประดิษฐ์ชั้นนำของสหรัฐที่มีชื่อเสียงด้านงานวิจัยเชิงลึก และเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ
ในระหว่างการทำงานที่นี่ เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบ “โมลโม่” (Molmo) ซึ่งเป็นแชตบอตต้นแบบที่มีความก้าวหน้ามากกว่าระบบทั่วไป
ความพิเศษของโมลโม่คือ ไม่ได้จำกัดการทำงานเพียงการตอบสนองต่อข้อความธรรมดา แต่สามารถประมวลผลข้อมูลที่หลากหลายได้พร้อมกัน ทั้งภาพ เสียง และข้อความ หรือที่เรียกในศัพท์เทคนิคว่าระบบมัลติโมดอล (Multimodal System)
ผลงานชิ้นนี้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของเมตา เนื่องจากบริษัทได้กำหนดเป้าหมายในการสร้างเอไอที่สามารถเข้าใจโลกได้อย่างหลากหลายมิติ ไม่เพียงแต่การอ่านหรือเขียนข้อความเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมองเห็นและการฟังเสียงที่เหมือนกับความสามารถของมนุษย์
นอกเหนือจากนี้ ไดท์คียังได้รับรางวัล Outstanding Paper Award จากการประชุม NeurIPS 2022 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเวทีวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลก โดยในแต่ละปีจะมีนักวิจัยหลายหมื่นคนจากทั่วโลกส่งผลงานเข้าประกวด แต่จะมีเพียงไม่กี่งานเท่านั้นที่ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลดังกล่าว
เสียงวิจารณ์และความกังวล
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวางในหลายแวดวง นักวิชาการอย่าง รเมช ศรีนิวาสัน (Ramesh Srinivasan) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส เตือนว่าโมเดลธุรกิจเช่นนี้กำลังทำให้เศรษฐกิจเหลื่อมล้ำมากขึ้น
เขาชี้ให้เห็นว่า บริษัทเหล่านี้เลือกที่จะจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้กับนักวิจัยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในขณะเดียวกันกลับเลิกจ้างแรงงานหลายพันคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานระดับล่าง เช่น คนตรวจสอบเนื้อหา (Content Moderator) ซึ่งไม่ได้รับการนับเป็นพนักงานประจำเต็มเวลา
ศรีนิวาสันยังชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งในการพัฒนาเอไอที่ใช้ข้อมูลจากแรงงานจำนวนมหาศาล แต่กลับไม่มีการคืนผลตอบแทนให้กับผู้ที่สร้างข้อมูลเหล่านั้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผลประโยชน์ส่วนใหญ่กลับตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อยที่อยู่บนยอดของพีระมิดอำนาจ
แนวคิดเชิงกลยุทธ์ของซักเคอร์เบิร์ก
“หัวใจสำคัญของการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้อยู่ที่เงินทุนหรือเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การมีบุคลากรที่เก่งที่สุดในทีม” ซักเคอร์เบิร์กเคยเน้นย้ำจุดนี้กับนักลงทุน
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อเมตากำลังลงทุนเงินในระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี การที่จะทำให้การลงทุนเหล่านี้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูงมาร่วมงานด้วย
“เราต้องใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อดึงตัวผู้เชี่ยวชาญ 50 หรือ 70 คนที่เก่งที่สุดในโลกมาร่วมกันสร้างสรรค์อนาคต” ผู้ก่อตั้งเมตากล่าวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับการสะสม และรวบรวมบุคลากรที่มีความสามารถสูงเป็นอันดับแรก
อ้างอิง: New York Post และ New York Times







