แซม อัลท์แมน เตือนฟองสบู่ AI ขณะที่ OpenAI วางแผนใช้จ่ายมหาศาล

แซม อัลท์แมน เตือนฟองสบู่ AI ขณะที่ OpenAI วางแผนใช้จ่ายมหาศาล

แซม อัลท์แมน ซีอีโอ OpenAI เตือน AI อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่ คล้ายยุคดอทคอม แต่กลับวางแผนลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลหลายล้านล้านดอลลาร์ ท่ามกลางการแข่งขันลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่และความคาดหวังต่อ GPT-5

KEY

POINTS

  • แซม อัลท์แมน ออกมาเตือนว่าตลาดเอไอกำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่
  • คำเตือนดังกล่าวสวนทางกับแผนการของ OpenAI เองที่จะลงทุนมูลค่ามหาศาลหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล
  • อัลท์แมนมองว่าภาวะฟองสบู่เป็นธรรมชาติของการพัฒนาเทคโนโลยี และเชื่อว่าแม้จะมีความเสี่ยง แต่มูลค่าที่เอไอจะสร้างให้สังคมในระยะยาวนั้นมีมหาศาล

แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ประธานกรรมการบริหารของบริษัท OpenAI ได้ออกมาเตือนว่าตลาดปัญญาประดิษฐ์อาจกำลังอยู่ใน “ภาวะฟองสบู่” ที่คล้ายกับช่วงฟองสบู่ดอทคอมในยุค 1990 อย่างไรก็ตาม การเตือนครั้งนี้กลับสร้างความขัดแย้งเมื่อพิจารณาถึงแผนการลงทุนมหาศาลของตัวบริษัทเอง

ในงานเลี้ยงอาหารค่ำกับนักข่าวที่เมืองซานฟรานซิสโก อัลท์แมนได้เน้นคำว่า “ฟองสบู่ (Bubble)” อยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งหัวเราะและแสดงความคิดเห็นว่าคงจะมีสื่อหลายแห่งนำเรื่องนี้ไปพาดหัวข่าวหวือหวาเป็นอย่างมาก 

อัลท์แมนยังบอกอีกว่า นักลงทุนโดยรวมมีความตื่นเต้นกับเทคโนโลยีเอไอมากเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับพูดถึงแผนการใช้จ่ายเงินหลายล้านล้านดอลลาร์สำหรับการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data center) ในอนาคตอันใกล้

เตือนฟองสบู่แต่กลับทุ่มทุนมหาศาล

แม้ว่าอัลท์แมนจะออกมาเตือนเรื่องฟองสบู่ แต่ OpenAI กลับไม่หยุดการทุ่มทุนอย่างต่อเนื่อง เขาได้ประกาศแผนการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ และยังกล่าวว่า “แม้จะมีนักเศรษฐศาสตร์หลายคนกังวลเรื่องความเสี่ยง แต่เราจะทำในสิ่งที่เราเชื่อมั่น”

เมื่อมองถึงผลงานการระดมทุนล่าสุดของ OpenAI ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทสามารถระดมทุนได้ถึง 8.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 300 พันล้านดอลลาร์ 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะให้พนักงานขายหุ้นเพิ่มเติมอีกประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ให้กับกลุ่มนักลงทุนชั้นนำ เช่น SoftBank, Dragoneer และ Thrive Capital ซึ่งหากแผนนี้สำเร็จ มูลค่าของ OpenAI อาจพุ่งสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์

การแข่งขันลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอไอ

OpenAI ไม่ได้เป็นบริษัทเดียวที่กำลังทุ่มทุนอย่างมหาศาล บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างก็เพิ่มงบลงทุนด้านเอไอและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง

  • Microsoft: ปรับงบลงทุนรวมทั้งปีเป็น 120 พันล้านดอลลาร์
  • Amazon: เกิน 100 พันล้านดอลลาร์
  • Alphabet: 85 พันล้านดอลลาร์
  • Meta: ลงทุนด้านเอไอและโครงสร้างพื้นฐานสูงสุด 72 พันล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์จาก Wall Street บางคน เช่น แดน อีฟส์ (Dan Ives) จากบริษัท Wedbush มองว่าการลงทุนเหล่านี้เป็น “สัญญาณยืนยันความแข็งแกร่งของตลาด” แม้ว่าเขาจะยอมรับว่ามีความเป็นฟองสบู่ในบางส่วนของตลาด แต่เขาเชื่อมั่นว่าการปฏิวัติด้านเอไอยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น

ความแตกต่างจากฟองสบู่ดอทคอม

แม้ว่าหลายคนจะเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันของเอไอกับฟองสบู่ดอทคอมในยุค 1990 แต่นักวิเคราะห์บางรายมองในแง่ที่แตกต่างออกไป

ร็อบ โรว์ (Rob Rowe) จากธนาคาร Citi ได้ชี้ให้เห็นว่า บริษัทเอไอส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีรายได้และกระแสเงินสดที่มั่นคงมากกว่า การลงทุนส่วนใหญ่ใช้เงินที่มาจากกระแสเงินสดของบริษัทเอง ไม่ใช่การกู้หนี้เหมือนในยุคดอทคอม

นอกจากนี้ การลงทุนในเอไอยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของบริการดิจิทัลที่กลายเป็นส่วนสำคัญของการค้าขายระหว่างประเทศและการส่งออก

อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงเตือนจากผู้นำธุรกิจรายอื่น เช่น โจ ไจ๋ (Joe Tsai) ผู้ก่อตั้งบริษัท Alibaba ซึ่งได้เตือนเรื่องฟองสบู่เอไอตั้งแต่ต้นปี 2025 โดยตั้งคำถามว่า การสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์นั้นจำเป็นจริงหรือไม่ และเป็นความเสี่ยงที่บริษัทต่างๆ เริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลโดยไม่ชัดเจนว่าจะมีความต้องการจริงเท่าไร

อัลท์แมนมองฟองสบู่เป็นธรรมชาติของเทคโนโลยี

อัลท์แมนมองว่าการลงทุนที่เกินความจำเป็นในบางส่วนเป็นจังหวะธรรมชาติของการพัฒนาเทคโนโลยี และได้ยกตัวอย่างฟองสบู่ดอทคอมที่แม้จะทำให้บริษัทจำนวนมากล้มเหลว แต่ในที่สุดก็กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้เกิดอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ตามที่เราเห็นในปัจจุบัน

เขายังแสดงความมั่นใจว่าแม้นักลงทุนบางรายจะได้รับความเสียหายจากตลาดเอไอ แต่ผลประโยชน์ระยะยาวที่เอไอจะนำมาสู่สังคมจะมีคุณค่าอย่างมาก

“ผมเชื่อว่ามูลค่าที่เอไอจะสร้างให้กับสังคมมีขนาดมหาศาล แม้จะมีนักลงทุนบางส่วนสูญเสียเงิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนโลกได้จริงๆ” อัลท์แมน กล่าว

ปัจจุบัน OpenAI กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเป็น Public Benefit Corporation ซึ่งหมายถึงบริษัทที่มีเป้าหมายหลักในการสร้างประโยชน์สาธารณะควบคู่ไปกับการทำกำไร แม้ว่าอัลท์แมนเคยให้ความเห็นว่าคำว่า AGI (Artificial General Intelligence) ไม่ใช่คำที่มีประโยชน์มากนัก แต่เป้าหมายหลักของบริษัทยังคงเน้นการพัฒนาเอไอที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม

อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังอันสูงของตลาดและนักลงทุนก็นำมาซึ่งความท้าทาย เมื่อเร็วๆ นี้ การเปิดตัว GPT-5 ได้สร้างความผิดหวังให้กับบางฝ่าย เนื่องจากยังไม่มีความก้าวหน้าตามที่หลายคนคาดหวัง ระบบ routing ยังคงมีข้อจำกัด และยังไม่ปรากฏความก้าวหน้าที่เป็น breakthrough อย่างชัดเจนตามที่คาดการณ์ไว้

สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของอุตสาหกรรมเอไอในปัจจุบัน ที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการลงทุนขนาดใหญ่ ความคาดหวังของตลาด และความจริงของขีดจำกัดทางเทคโนโลยีที่ยังคงมีอยู่

อ้างอิง: CNBC และ Fortune