แผน AI จีน ส่งสัญญาณอะไรแก่โลกตะวันตก?

แผน AI จีน ส่งสัญญาณอะไรแก่โลกตะวันตก?

จีนผลักดัน AI ที่พึ่งพาตัวเองได้ พร้อมเชิญชวนให้ประเทศที่กำลังพัฒนา (Global South) จัดตั้งองค์กรกำกับดูแลนานาชาติ หวังเป็นทางเลือกนอกเหนือจากการใช้โมเดลของสหรัฐ

KEY

POINTS

  • งาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) จีนได้แสดงนวัตกรรมเอไอที่ไม่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐ
  • จีนกำลังสร้างระบบนิเวศเอไอพึ่งพาตนเอง ทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อพัฒนาชิป โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร
  • จีนเชิญชวนให้ประเทศที่กำลังพัฒนา (Global South) จัดตั้งองค์กรกำกับดูแลนานาชาติ หวังเป็นทางเลือกนอกเหนือจากการใช้โมเดลของสหรัฐ

จากเวทีประชุมปัญญาประดิษฐ์กลางเซี่ยงไฮ้ สู่ห้องเรียนมัธยมในปักกิ่ง ความทะเยอทะยานของจีนไม่ได้อยู่แค่การมีโมเดลที่ฉลาดที่สุด แต่คือ การมีระบบนิเวศเทคโนโลยีที่ “ไม่ต้องพึ่งพาใคร” หลังถูกสหรัฐควบคุมการเข้าถึงชิปขั้นสูงและแหล่งทุนสำคัญ 

Wall Street Journal รายงานว่า จีนในตอนนี้ “ไม่ได้เล่นๆ” แต่รวมพลังรัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจ อัดเงินทุ่มสร้างทั้งโครงสร้างพลังงาน พัฒนาชิปบ้านเกิด พัฒนาบุคลากรให้เป็นโปรเอไอ และตั้งเป้าแผ่รัศมีมาตรฐานเอไอไปทั่วโลก

โมเดลเอไอที่ไม่ใช้เทคโนโลยีตะวันตก 

ณ งาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่จัดขึ้นในเซี่ยงไฮ้กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้แสดงนวัตกรรมเอไอที่ไม่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐ

หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน บอกว่า จีนอยากตั้ง “กรอบกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ระดับโลก” (Global AI Governance) เพื่อให้ประเทศต่างๆ มาช่วยกันดูแล และแบ่งปันพัฒนาการด้านเอไออย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในซีกโลกใต้

“เอไอไม่ควรเป็นของแค่บางประเทศหรือบางบริษัท แต่ควรให้ทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ได้ใช้และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้อย่างเท่าเทียมกัน” นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวบนเวที WAIC 

จีนผลักดัน “เอไอไร้ตะวันตก” ซึ่งภายในงาน บริษัทอย่าง StepFun จากเซี่ยงไฮ้ เปิดตัวโมเดลเอไอที่ออกแบบมาให้ใช้หน่วยความจำและพลังประมวลผลน้อยลง จนสามารถใช้งานกับชิปที่ผลิตในประเทศได้ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน Huawei ก็เดินหน้าโปรเจ็กต์ “Spare Tire” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับบริษัทกว่า 2,000 แห่ง โดยตั้งเป้าให้จีนสามารถพึ่งพาชิปในประเทศได้ถึง 70% ภายในปี 2028 และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาชิป Ascend ของตัวเอง ด้วยเทคนิคการจัดกลุ่มชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ถึงจะกินไฟมากขึ้นหน่อยก็ยอม

ดันโอเพนซอร์สเป็นจุดแข็ง

แผน Global AI Governance เสนอให้มีการจัดตั้งชุมชนโอเพนซอร์สระหว่างประเทศ ซึ่งเปิดทางให้โมเดลเอไอจากหลายประเทศสามารถเข้าร่วม พัฒนา และใช้งานร่วมกันได้อย่างเสรี

ขณะเดียวกัน แนวทางของสหรัฐที่แม้จะมีความก้าวหน้าด้านเอไอสูง แต่บริษัทชั้นนำอย่าง OpenAI, Anthropic หรือ Google DeepMind ยังคงเลือกพัฒนาโมเดลแบบปิด (Closed-source) โดยไม่เปิดเผยโค้ดและน้ำหนักโมเดลให้บุคคลภายนอกเข้าถึงได้อย่างอิสระ

บริษัทวิเคราะห์ Artificial Analysis รายงานว่า โอเพนซอร์สจีน เช่น DeepSeek, Yi หรือ Qwen ของ Alibaba เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มนักพัฒนาและบริษัทเทคโนโลยี โดยเฉพาะ DeepSeek-V2 และ Qwen2 ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าโมเดลสหรัฐในบางตัวชี้วัด

ผู้เชี่ยวชาญในจีนบางรายมองว่า “แม้โมเดลโอเพ่นซอร์สจะยังตามหลัง GPT-4 อยู่บ้าง แต่การมีฐานของตัวเองคือ จุดเริ่มต้นที่สำคัญในการควบคุมเทคโนโลยีและการใช้งานในประเทศ”

อย่างไรก็ตาม ฝั่งตะวันตกมีความพยายามทำโอเพนซอร์สเช่นกัน เช่น Meta ที่เคยปล่อย LLaMA หรือ Mistral จากฝรั่งเศส แต่จีนพยายามสร้างระบบนิเวศที่ “ไม่ขึ้นกับชาติตะวันตก” โดยเฉพาะในแง่ของ Data Center, GPU และการจัดสรร Compute Power ให้กับนักวิจัยในประเทศ

เริ่มจากห้องเรียนสู่โครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับการพัฒนาบุคลากรในประเทศ กระทรวงศึกษาธิการจีนได้เริ่มทดลองเปิดหลักสูตรเอไอในโรงเรียนประถมศึกษาหลายแห่ง เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่แนวคิดเบื้องต้นของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการเขียนโปรแกรมพื้นฐาน 

รัฐบาลจีนต้องการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ให้มีความเข้าใจด้านเอไอตั้งแต่ระดับต้น โดยตั้งเป้าให้ “ความสามารถด้านเอไอ” เป็นทักษะพื้นฐานของประชากรในอนาคต เช่นเดียวกับที่การเรียนภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์เคยมีบทบาทในยุคก่อน

มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยชิงหัวและมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ก็เริ่มเปิดสาขาเฉพาะทางด้านเอไอ และเปิดห้องแล็บสำหรับวิจัยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของตัวเอง โดยใช้โมเดลโอเพนซอร์สจากในประเทศเป็นฐานทดลองและต่อยอด

งานวิจัยจากสถาบัน Hoover Institution และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ยังพบว่า นักวิจัยที่อยู่เบื้องหลังโมเดล DeepSeek กว่าครึ่ง ไม่เคยไปเรียนหรือทำงานในต่างประเทศ อาจส่งสัญญาณว่าจีนกำลังสร้างบุคลากรด้านเอไอภายในประเทศ เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการพัฒนาเทคโนโลยี

นอกจากนี้ ในมิติโครงสร้างพื้นฐาน จีนวางแผนลงทุนกว่า 564,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 เพื่อพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักสำหรับการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ โดยขณะนี้ จีนสามารถผลิตไฟฟ้ามากกว่าสหรัฐถึง 2.5 เท่า และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในช่วง 5 ปีข้างหน้า

รัฐกับเอกชนเดินเกมคู่ขนาน

เบื้องหลังความเคลื่อนไหวเหล่านี้คือความร่วมมือระหว่างภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนรายใหญ่ เช่น Alibaba, Tencent และ Huawei ที่ต่างก็มีโมเดลเอไอเป็นของตัวเอง

รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นระบบ โดยจัดตั้งคลัสเตอร์คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงระดับชาติ เพื่อเป็นฐานการประมวลผลสำหรับงานวิจัยและพัฒนาเอไอ พร้อมทั้งเร่งจัดหาชิปประมวลผลภายในประเทศให้กับมหาวิทยาลัยและสตาร์ตอัป เพื่อทดแทนการขาดแคลนฮาร์ดแวร์ขั้นสูงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ

ในระดับท้องถิ่น เช่น มณฑลกวางตุ้งและเสฉวน รัฐบาลยังออกนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการที่เลือกใช้โมเดลโอเพนซอร์สจีนเป็นหลัก ด้วยมาตรการให้เครดิตภาษีหรือเงินสนับสนุนโดยตรง

ด้านการเงินและการลงทุน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน (CSRC) มีแนวโน้มเข้มงวดต่อการอนุมัติการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สำหรับบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เอไอและเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อกันสภาพคล่องและเงินทุนให้ไหลเข้าสู่ภาคส่วนที่ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ

ในขณะเดียวกัน เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นฐานการผลิตและวิจัยสำคัญของ Huawei ได้ตั้งกองทุนมูลค่าราว 700 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ที่จีนควบคุมเองได้ ภายใต้เป้าหมายการพึ่งพาตนเองตามนโยบายรัฐบาลกลาง

นอกจากนี้ ภาครัฐยังเร่งนำโมเดลเอไอที่พัฒนาโดยบริษัทจีน เช่น DeepSeek และ Qwen ของ Alibaba ไปใช้ในภาคธุรกิจและสถาบันต่างๆ ตั้งแต่หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ ไปจนถึงสถาบันการเงิน แม้บางกรณียังไม่มีกรณีใช้งานที่ชัดเจนในเชิงพาณิชย์ แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นสร้างระบบนิเวศเอไอภายในประเทศ

คำถามเรื่องคุณภาพ - เสรีภาพ - ความโปร่งใส

แม้ว่า DeepSeek-V2 จะเปิดให้เข้าถึงได้อย่างเสรีในเชิงเทคนิค แต่หลายฝ่ายยังตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดโอเพนซอร์สในบริบทจีน อาจมีข้อจำกัดบางประการในเชิงเนื้อหา โดยเฉพาะการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองหรือสังคม

นอกจากนี้ ตัวโมเดลยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างเสถียรหากไม่ได้รับการอนุมัติจากภาครัฐ

นักวิเคราะห์บางรายยังเตือนว่า ความพยายามของจีนในการตัดขาดจากระบบนิเวศของเทคโนโลยีโลก อาจนำไปสู่การสร้าง “ระบบคู่ขนาน” ของเอไอที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง และอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การวิจัยข้ามพรมแดน และมาตรฐานทางจริยธรรมของเอไอ

ฝั่งสหรัฐยังเดินหน้าต่อ

ขณะที่ฝ่ายสหรัฐเองก็ไม่หยุดนิ่ง ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศ “AI Action Plan” หรือ “AI Blueprint” เพื่อเร่งการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมกับการลงนามคำสั่งพิเศษให้เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ด้านเอไอแก่เยาวชนอเมริกัน 

แผนดังกล่าวเป็นยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการขยายการส่งออกเทคโนโลยีเอไอไปยังพันธมิตรประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสหรัฐ เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางเทคโนโลยี และป้องกันไม่ให้จีนเข้าถึงตลาด รวมไปถึงทรัพยากรสำคัญในด้านเอไอได้อย่างเต็มที่

อีกหนึ่งโครงการสำคัญคือ การจับมือกันระหว่าง OpenAI และ SoftBank เพื่อลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ แม้จะยังเผชิญกับความล่าช้า

คำถามสำคัญกว่านั้นคือ ใครกันแน่ที่จะ “สร้างระบบที่ไม่ต้องพึ่งใคร” ได้ก่อน

 

อ้างอิง: Reuters และ WSJ