ยิบอินซอยลุยตลาด ‘คลาวด์-เอไอ’ ขยายพันธมิตร AIS ย้ำบทบาท Master Dealer

ยิบอินซอยเสนอทางออกใหม่ สร้างระบบคลาวด์ไทยร่วม AIS ลดการพึ่งพาต่างชาติ ตอบโจทย์ความปลอดภัยข้อมูลในยุคเอไอ ขณะเผชิญปัญหาต้นทุนเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นจากสงครามการค้า และการขาดแคลนบุคลากรไอที
KEY
POINTS
- ยิบอินซอยปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นการลงทุนในตลาดคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจในยุค AI Transformation
- ประกาศความร่วมมือกับ AIS ในฐานะพันธมิตร เพื่อพัฒนาระบบคลาวด์และศูนย์ข้อมูลสำหรับรองรับเทคโนโลยีเอไอในประเทศไทยโดยเฉพาะ
- ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางข้อมูล (Data Sovereignty) และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
ภายใต้แรงกดดันจากทุกทิศ ทั้งภาษีนำเข้าเทคโนโลยีจากสหรัฐ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลขององค์กร และปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้านไอที ‘ยิบอินซอย’ หนึ่งในผู้ให้บริการโซลูชันไอทีรายใหญ่ของไทย กำลังปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่อย่าง AIS และการเร่งลงทุนด้านคลาวด์และเอไอเพื่อตอบโจทย์ยุคที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้อง ‘ยกเครื่อง’ เทคโนโลยีของตัวเอง
ในปี 2568 นี้ ยิบอินซอยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนอีกครั้ง กับการเดินหน้าสู่ตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มตัว และนั่นไม่ใช่เพราะเทรนด์ แต่มาจากสิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรมองว่า คือ คลื่นใหญ่ถัดไปที่องค์กรไทยต้องเตรียมรับมืออย่างจริงจัง
“วันนี้ไม่มีใครพูดถึงแค่ Digital Transformation แล้ว แต่พูดถึง AI Transformation ปีนี้เป็นปีที่การตัดสินใจด้านเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องของแผนไอทีอีกต่อไป แต่มันเป็นแผนธุรกิจขององค์กรไปแล้ว” สุภัค ลายเลิศ กรรมการอำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด กล่าวกับกรุงเทพธุรกิจ
ธุรกิจเอไอถึงจุดคุ้มทุน?
ภายใต้กระแสการนำเอไอไปใช้งานอย่างแพร่หลาย ผู้บริหารยิบอินซอยยอมรับว่า “ความน่าตื่นเต้นของเอไอตอนนี้ไม่ได้อยู่แค่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่ความสามารถในการเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ” โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลักอย่างธนาคาร ประกัน พลังงาน และโลจิสติกส์ ซึ่งเริ่มเห็นการทดลองใช้เอไออย่างจริงจัง ทั้งในรูปแบบ Automation, Predictive Analytics และ AI Copilot
อย่างไรก็ดี การตัดสินใจลงทุนด้านเอไอยังเผชิญต้นทุนที่สูง และต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เช่น คลาวด์ ซึ่งยังเป็นสิ่งที่องค์กรไทยจำนวนมากยังไม่พร้อมอย่างแท้จริง
AIS พันธมิตรรายใหม่ วากรากฐานคลาวด์
หนึ่งในก้าวใหญ่ที่ยิบอินซอยเพิ่งเดินไป คือการร่วมมือกับ AIS เพื่อพัฒนาระบบคลาวด์และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ไม่ใช่แค่รองรับปริมาณข้อมูลมหาศาล แต่ยังมองไกลไปถึงการเป็นฐานให้ระบบเอไอในอนาคตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“องค์กรหลายแห่งอยากใช้เอไอแต่ไม่มั่นใจว่าจะเก็บข้อมูลไว้ที่ไหน เราเลยร่วมกับ AIS ทำโซลูชันเอไอที่ ‘Made in Thailand, Stay in Thailand’ กล่าวคือ AIS มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่แข็งแรง เรามีความเข้าใจในระบบไอทีขององค์กรและภาครัฐ เมื่อรวมกันจึงเกิดคลัสเตอร์เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ประเทศ” สุภัค กล่าว
เป้าหมายของความร่วมมือครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่รวมถึงความสามารถของประเทศที่จะยืนอยู่ในเวทีเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก โดยยิบอินซอยมองว่า การมี “ศูนย์ข้อมูลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพภายในประเทศ” เป็นทั้งเรื่องของอธิปไตยข้อมูล (Data Sovereignty) และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
“ในฐานะ Master Dealer ของ AIS Cloud ยิบอินซอยมีบทบาทสำคัญในการขยายบริการคลาวด์สู่ตลาดองค์กรไทย ผ่านการนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่องค์กรต้องการเร่งเครื่องสู่ AI Transformation”
สุภัคย้ำว่า การใช้คลาวด์จากผู้ให้บริการในประเทศ จะมีความยืดหยุ่นและปลอดภัยมากกว่าในหลายกรณี โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลหรือการเงิน ซึ่งจำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องการส่งข้อมูลออกนอกประเทศ
สงครามการค้าและมาตรการภาษีของสหรัฐ
มาตรการภาษีนำเข้าเทคโนโลยีจากสหรัฐเป็นแรงกดดันสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนด้านเอไอและคลาวด์ขององค์กรไทย โดยเฉพาะต้นทุนการจัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มสูงขึ้น
“เราเห็นว่าต้นทุนของฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยีที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลายองค์กรต้องชะลอหรือปรับแผนลงทุนในด้านเอไอและคลาวด์ลงไป เพราะถ้าลงทุนในตอนนี้ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้โครงการไม่คุ้มทุน หรือกลับกลายเป็นภาระด้านงบประมาณ”
นอกจากนี้ สุภัคยังชี้ว่า การมีข้อจำกัดและมาตรการทางการค้าทำให้องค์กรไทยต้องหาทางออกที่เป็นทางเลือกใหม่ เช่น การสร้างระบบคลาวด์ภายในประเทศร่วมกับ AIS เพื่อช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงลดความเสี่ยงจากความผันผวนของมาตรการภาษีและสงครามการค้าในระดับโลก
โดยสรุป สุภัคเห็นว่ามาตรการภาษีจากสหรัฐไม่ใช่แค่เรื่องกว้างๆ แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแผนการลงทุนและต้นทุนของธุรกิจไทย ทำให้องค์กรต้องปรับตัวและหาแนวทางใหม่ในการจัดการกับเทคโนโลยี เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
บุคลากรยังคงเป็นจุดเปราะบาง
อีกโจทย์ที่ไม่อาจมองข้ามคือ การขาดแคลนบุคลากรด้านไอที โดยเฉพาะสายงาน Data Engineer, Cloud Engineer และ AI Engineer ที่ตลาดไทยยังมีไม่พอรองรับความต้องการขององค์กร
สุภัคระบุว่า บางตำแหน่งอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นกว่า 30% ภายในไม่ถึงปี ขณะที่องค์กรหลายแห่งเริ่มใช้กลยุทธ์ re-skill และ co-develop คนรุ่นใหม่ผ่านโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยหรือ bootcamp ต่างๆ มากขึ้น
“ตลาดแรงงานตอนนี้ไม่เหมือนเดิม คนทำงานต้องเข้าใจทั้ง เอไอ, คลาวด์ และแนวคิดเรื่อง Automation ไปพร้อมกัน ทุกคนกำลังแข่งกันด้วย human intelligence ที่รู้ว่าจะใช้ artificial intelligence อย่างไรให้เกิดผลลัพธ์จริง”
นั่นจึงทำให้ยิบอินซอยเร่งลงทุนด้านบุคลากร ทั้งการสร้างทีม AI Developer, Data Engineer, MLOps และ Data Scientist รวมถึงการอบรมพนักงานให้เข้าใจวิธีใช้งานโมเดลใหม่ๆ
ไทยอยู่ตรงไหนในแผนที่เทคโนโลยีโลก?
เมื่อถูกถามว่า “ตลาดไทยพร้อมแค่ไหน” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเอไอ ผู้บริหารยิบอินซอยยอมรับว่า “ความเข้าใจมีมากขึ้น แต่ความสามารถในการลงมือทำยังไม่เท่ากัน” โดยเฉพาะองค์กรที่ยังใช้ระบบ IT แบบเก่า (Legacy System) จำนวนมาก และขาดผู้นำที่เข้าใจเรื่องเอไออย่างแท้จริง
อย่างไรก็ดี เขาเชื่อว่า ปี 2568 จะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของตลาดไทย เพราะเป็นปีที่หลายองค์กรต้องเลือกว่าจะเดินหน้าทางเทคโนโลยีหรือจะตามหลังคู่แข่งไปเรื่อยๆ
สุภัคมองว่าในอนาคตอันใกล้ โมเดลเอไอจะไม่ใช่ความได้เปรียบเชิงแข่งขันแบบแต่ก่อน เพราะใครๆ ก็สามารถใช้ LLM จาก OpenAI, Google หรือ Meta ได้ในราคาถูกหรือบางครั้งก็ฟรี
“สิ่งที่จะสร้างความต่าง คือใครเข้าใจบริบทธุรกิจและสามารถเชื่อมโมเดลกับปัญหาที่แท้จริงของลูกค้าได้” นั่นคือเหตุผลที่ยิบอินซอยเน้นการสร้าง Value Layer หรือ ‘ชั้นของคุณค่า’ ที่อยู่เหนือเทคโนโลยีพื้นฐาน ไม่ใช่แค่ให้ API แต่รวมถึงความเข้าใจปัญหา ออกแบบโฟลว์งาน และติดตามผลการใช้เอไออย่างใกล้ชิด
ในมุมของสุภัค การเปลี่ยนผ่านสู่ AI Transformation ไม่สามารถพึ่งพาเครื่องมือเพียงอย่างเดียวได้ แต่ต้องอาศัยระบบนิเวศที่ครบวงจร ทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ทีมงานที่เข้าใจ และพันธมิตรที่ไว้วางใจได้







